คำเทศนาเรื่อง สภาพของสังคมที่เราจะต้องฝ่าไป
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม 2ทมธ.3:1-9 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระธรรม 2 ทมธ. 3:1- 9 แล้วอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า สภาพของสังคมที่เราจะต้องฝ่าไป ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องทราบไหมครับว่า พระคัมภีร์แปลว่าอะไร ? พระคัมภีร์แปลว่า หนังสือศักดิ์สิทธิ์ หนังสือที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์นี้ได้ถูกรวบรวมเอาไว้เป็นเล่มแบบนี้และอยู่คู่กับโลกใบนี้มาแล้วประมาณ 1,900 กว่าปี
สิ่งที่แปลกแต่จริงนั่นก็คือว่า พระคำของพระเจ้าซึ่งได้ถูกเขียนเอาไว้เป็นพันๆปีหรือเกือบจะ 2000 ปีแล้วก็ตาม ต่างดูที่จะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหรือต่างดูที่จะสอดคล้องกับยุคสมัยของเราเป็นอย่างมาก
ดังนั้นถ้าเราจะศึกษาลักษณะของสังคมในยุคสุดท้ายนั้น ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องไปศึกษากันไกล เราศึกษากันใกล้ๆก็พอแล้ว ศึกษาจากที่ไหนครับ ? จากพระคำของพระเจ้านี่แหละ เพราะพระคำของพระเจ้าในตอนนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนถึงสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย
คำถามก็คือว่า พระคำของพระเจ้าบอกกับเราเพื่ออะไร ?
คำตอบก็คือว่า 1 ) เพื่อที่เราจะไม่เครียดต่อความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น
2 ) เพื่อที่เราจะเข้าสู่เส้นชัยในสภาพของสังคมที่มันกลียุคนั้นได้อย่างไร
นี่คือสิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเรา
จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 1 เราพบคุณธรรมของคนจะสิ้นยุค คุณธรรมของคนจะสิ้นยุคนั้นเป็นอย่างไร
ให้ที่ประชุมอ่านในข้อที่ 1 - 4 พร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดัง
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 อย่างแท้จริงนั้นจะเกิดกลียุคขึ้นมา
คำถามก็คือว่า วันนี้ได้เกิดการกลียุคขึ้นแล้วหรือยังครับ ?
การกลียุคได้เกิดขึ้นแล้วเป็นหย่อมๆในแต่ละประเทศ และจะมีมากขึ้นและมากขึ้น และมากขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่า วันนี้พระเยซูเสด็จกลับเข้ามาในโลกใบนี้แล้วหรือยังครับพี่ - น้อง ? องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้เสด็จกลับมาแล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่จะมีคริสเตียนบางคนพูดคำว่า นี่คือยุคสุดท้าย
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า คุณธรรมของคนในยุคสุดท้ายนี้เป็นกันอย่างไรครับพี่ - น้อง ? เขาจะรักความเห็นแก่ตัว เขาจะรักเงิน เขาจะรักความหยิ่งยโส เขาจะรักการด่าว่า เขาจะรักเงินของบิดา มารดา แต่เขาไม่ชอบฟังคำเตือนและคำสอนของบุพการี เขาจะรักการอกตัญญู คือ ไม่ให้เกียรติแก่ผู้มีพระคุณ เขาจะรักความดุร้าย
เขาจะรักการทรยศไม่จริงใจ ( ถึงแม้จะเป็นสามีภรรยาที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันก็ตาม ) เขาจะรักการมุทะลุ เขาจะรักการหัวสูงทั้งๆ ที่มีรายได้ต่ำ และสุดท้ายที่พระคำของพระเจ้าบอกกับเรานั่นก็คือ เขาจะรักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า นี่คือลักษณะของกลียุคที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย สิ่งต่างๆ ที่ผมได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้มันได้เกิดขึ้นหรือยัง ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระคำของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาลได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าในจักรวาลนี้มีอะไรครับ ? มีพระเจ้าและพระเจ้าก็เป็นผู้ให้มีมนุษย์ขึ้นมาซึ่งนั่นก็คือ อาดำกับเอวาและพระเจ้าก็ให้มีสรรพสิ่ง ดังนั้นมนุษย์ควรที่จะนมัสการพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์และใช้สรรพสิ่งที่พระเจ้าให้มานั้น เกิดความสุขและยังประโยชน์แก่ชีวิตของมนุษย์
ด้วยเหตุนี้เองผู้เขียนพระธรรม มก. จึงได้เขียนเอาไว้ใน มก. 12:29-31 เอาไว้ว่าอย่างไร ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.12:29-31 และอ่านอย่างช้าๆพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดัง
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่าพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิด และด้วยสุดกำลังของท่านและธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี
แต่เวลานี้คุณธรรมของคนจะสิ้นยุคกับหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผมพบว่าคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า หรือคนที่ไม่ได้สนใจในเรื่องของพระเจ้า เขากับใช้เวลาของเขาทั้งหมดไปกับการปรนนิบัติสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างเอาไว้
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลย 1.1)ที่มนุษย์จะใช้คนเพื่อให้ได้มาซึ่งสรรพสิ่งที่เขาต้องการ 1.2)ที่มนุษย์จะใช้เงินเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติ ลาภยศและคำสรรเสริญ เหตุเพราะจิตใจของมนุษย์ได้หันเหไปจากพระเจ้า
แต่เวลานี้คุณธรรมของคนจะสิ้นยุคกับหาเป็นเช่นนั้นไม่ผมพบว่าเวลานี้มีผู้เชื่อในประเทศไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่เขาได้ใช้เวลามากกว่า 98.8 % หรือ มากกว่า 166 ชม./สัปดาห์หมดไปกับการปรนนิบัติสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างเอาไว้
ซึ่งนั่นหมายความว่า คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า + กับคริสเตียนอีก 98.8% กำลังนมัสการใครอยู่ครับ ? ระหว่างการนมัสการพระเจ้ากับการนมัสการตัวเอง
และนี่คืออำนาจของมาร ซาตานที่มันพยายามจะเบี่ยงเบนคุณธรรมของคนในยุคสุดท้ายนี้ให้นมัสการตนเองมากกว่าที่จะนมัสการพระเจ้า
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 2 เราพบการถือพระศาสนาของคนในยุคสุดท้าย การถือพระศาสนาของคนในยุคสุดท้ายเป็นอย่างไร ? ให้ที่ประชุมอ่านในข้อที่ 5 พร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
การถือพระศาสนาของคนในยุคสุดท้ายนี้ จะมีลักษณะเด่นที่ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือ จะถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ เขาจะไม่สนใจ
พี่ - น้องอย่าคิดว่าศาสนานั้นไม่มีเปลือกนอกและไม่มีแก่นแท้ที่อยู่ข้างในนะครับ
เปลือก คืออะไร เปลือกคือ สิ่งที่เห็นภายนอกหุ้มห่อแก่นอยู่
เปลือก คืออะไร เปลือกคือ พิธีกรรมทางศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญนะครับพี่ - น้องไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่เปลือกต้องเป็นผลที่มาจากข้างในซึ่งหมายความถึงจิตวิญญาณนั่นเอง
ดังนั้นการนมัสการหรือการประกอบศาสนกิจใดๆก็ตามพี่ - น้องที่รัก มันต้องหลั่งออกมาจากความรัก ความเชื่อและความศรัทธาจากภายในอย่างแท้จริง ไม่ใช่มาจากแรงกระตุ้น ไม่ใช่มาจากการโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ ไม่ใช่มาจากการสร้างกระแส และไม่ใช่มาจากการที่มนุษย์นั้นสร้างแบรนด์หรืออะไรขึ้นมาสักแบรนด์หนึ่ง เหมือนกับในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ที่เขาพยายามจะสร้างอะไรกลมๆขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง คล้ายๆกับขนมโก๋อย่างนั้น
ดังคำสอนของพระเยซูในพระธรรมยน. 4:23 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ผู้ที่นมัสการอย่างถูกจะต้องนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง
การถือพระศาสนาของคนในยุคสุดท้ายนี้ โดยส่วนมากมักจะสนใจที่เปลือกนอก คือทำให้มันเสร็จๆไป ประการสำคัญก็คือว่า พระศาสนาดูเหมือนกับว่าจะเข้าใจความต้องการคนของผู้บริโภคในศาสนิกนั้นๆด้วย เขาจึงพยายามที่จะทำอะไรๆต่อมิอะไรออกมาในลักษณะให้สั้นเข้าว่า เอาง่ายเข้าไว้หรือทำเป็น Package ให้ดูเหมือนว่าทริปนี้เพียงทริปเดียวเท่านั้นที่ท่านจะอิ่มบุญบารมีไปอีก 10 ชาติ 100 ชาติ อะไรประมาณนั้น
พี่ - น้องที่รักครับ การถือพระศาสนาแต่เพียงเปลือกนอกนั้นเป็นสิ่งที่พระเยซูชอบหรือไม่ชอบครับพี่ - น้อง ? เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงเกลียดชังเป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตำหนิคนจำพวกหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งคนจำพวกนั้นได้แก่ใครครับ ? พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์
เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รัก ถ้าเราถือพระเยซูเอาไว้ในชีวิตของเราเพียงแค่ 2 ชม. / สัปดาห์โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ ส่วนอีก 166 ชม. / สัปดาห์เรากับถือตัวเองเป็นสรณะ หรือถือตัวเองเป็นสำคัญ เราก็ไม่ต่างอะไรไปจากกับพวกฟาริสีหรือพวกธรรมาจารย์เหล่านั้นเลย
เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รัก ถ้าเราถือพระเยซูเอาไว้ในชีวิตของเราเพียงแค่ 2 ชม. /สัปดาห์โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ ส่วนอีก 166 ชม. / สัปดาห์ เราไม่เคยเลยที่จะนมัสการอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หรือเราไม่เคยที่จะใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผ่านอรุณรุ่งจากเบื้องสูงในแต่ละวัน
ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องอย่างตรงไปตรงมาว่า พี่ - น้องโดยส่วนมากกำลังถือคริสต์ศาสนากันแต่เพียงเปลือกนอก ซึ่งพระเยซูไม่ปรารถนาที่จะให้เราถือเปลือกนอกของมัน แต่พระเยซูทรงปรารถนา ที่จะให้เราทั้งหลายสนใจและใส่ใจ เปลือกในของมันหรือแก่นแท้ของมัน
และถ้าหากพี่ - น้องท่านใดหรือคนใดก็ตามที่ยังสนใจเปลือกของคริสต์ศาสนา มากกว่าแก่นแท้ของคริสต์ศาสนา พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้ค่อนข้างแรงมากนะครับพี่ - น้อง พระคำของพระเจ้าพูดว่า คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ
เพราะคบไปก็มีแต่ปัญหา บางคนเป็นปัญหาตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ปัญหาของบางคนก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือมีปัญหาตลอด ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมาผมสรุปเลยนะครับว่า เป็นเพราะผู้เชื่อคนนั้นหรือคริสเตียนคนนั้นไม่ได้เอาพระเจ้าจริง ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า เลิกถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอกได้แล้วเธอ )
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
ประการที่ 3 เราพบพฤติกรรมการเผยแพร่ศาสนาของคนในยุคนี้ การเผยแพร่ศาสนาของคนในยุคสุดท้ายนี้เป็นอย่างไร ให้ที่ประชุมอ่านในข้อที่ 6 - 9 พร้อมๆ กันอย่างช้า ๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
พี่ - น้องที่รักครับ ในชีวิตของการรับใช้ของท่าน อ.เปาโล นั้น อ.เปาโล ได้เห็นถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ในชีวิตแห่งการรับใช้ของท่าน ในชีวิตแห่งการรับใช้ของท่าน อ.เปาโลนั้น อ.เปาโล พบว่ามีผู้เผยแพร่พระกิตติคุณบางคนที่ดูภายนอกแล้วเหมือนกับว่าเป็นผู้เผยแพร่อย่างแท้จริงๆ แต่จริงๆแล้วกับไม่ใช่ของแท้กับเป็นของเทียม ที่สำคัญก็คือว่าคนเหล่านี้ชอบเลียนแบบ จนทำให้ผู้เชื่อหลายต่อหลายคนต้องหลงออกไปจากทางของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้เอง อ.เปาโล จึงอธิบายความต่างๆโดยการยกตัวอย่างของผู้เผยพระวจนะแท้ คือ โมเสส กับผู้ประกอบวิทยากลเทียม คือ ยันเนสกับยัมเบรส์ ให้กับ ทิโมธี ได้ฟัง กล่าวคือ ไม่ว่าโมเสสจะทำอะไรสองคนนี้ทำได้หมด
เช่น เมื่อโมเสสทำน้ำให้กลายเป็นเลือดทั้งสองคนก็ทำได้อีก
เช่น เมื่อโมเสสทำภัยพิบัติคือให้กบเกิดขึ้นเต็มเมืองทั้งสองคนก็ทำได้อีก
เช่น เมื่อโมเสสทิ้งไม้เท้าแล้วไม้เท้ากลายเป็นงูคนสองคนก็ทิ้งไม้เท้าและไม้เท้าก็กลายเป็นงู
แต่พอมาถึงภัยพิบัติจากริ้น เมื่อโมเสสบอกอาโรน ให้เอาไม้เท้าตีฝุ่นให้เกิดริ้น พวกนักมายากลทั้งสองก็ทำไม่สำเร็จ ซึ่งเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสืออพยพบทที่ 7-9 ซึ่งพี่ - น้องสามารถที่จะกลับไปอ่านเองได้อีกครั้งหนึ่ง
ภายหลังจากที่ อ.เปาโล ได้สอนทิโมธี อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว อ.เปาโล จึงได้กำชับกับ ทิโมธี ว่าอย่าไปเอาเยี่ยงอย่าง หรืออย่าไปเอาวิธีการของผู้เผยแพร่ศาสนาเหล่านี้มาใช้แล้ว นอกจากไม่เอาเยี่ยงอย่างหรือวิธีการของผู้เผยแพร่พวกนี้มาใช้แล้ว อ.เปาโล ยังต้องการที่จะให้ ทิโมธี นั้นยืนหยัดต่อหลักคำสอนที่ถูกต้องด้วยโดยอย่าให้กระแสของสังคมนั้นพัดพาเขาไป
อสค.28:12-17 ทำให้เราทราบว่า ลูซิเฟอร์นั้นถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นฑูตสวรรค์ของพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ ฉลาดและสวยงาม
อสย.14:12-15 ทำให้เราทราบว่า ลูซิเฟอร์ เขาต้องการที่จะเป็นเหมือนดั่งพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงถูกเหวี่ยงลงมาบนพื้นดินให้เป็นมาร ซาตาน
ดังนั้นมาร ซาตาน มันจึงเป็นนักลอกเลียนแบบกิจกรรมของพระเจ้า การเผยแพร่คำสอนเท็จใช่ด้วยหรือไม่ที่มาร ซาตานมันลอกเลียนแบบ ? ใช่ด้วย
วัตถุประสงค์ของการเผยแพร่คำสอนเท็จคืออะไร คือ เผยแพร่คำสอนที่ไม่ตรงกับพระวจนะคำของพระเจ้า เช่น เทศนาพระกิตติคุณโดยไม่พูดถึงบาป เช่น เทศนาเรื่องสวรรค์แต่ไม่พูดถึงเรื่องนรก เช่น เลือกใช้พระคัมภีร์เป็นข้อๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้มีความศรัทธาในพระคัมภีร์เลย เช่น พูดโดยใช้สติปัญญาของมนุษย์หรือปรัชญาของโลก เป็นต้น
พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 6 บอกกับเราว่า พวกค้าคำสอนเท็จนี้จะไปหาใครครับ ? ไปหาสตรี
สิ่งที่พี่ - น้องจะต้องเข้าใจในพระคัมภีร์ตอนนี้เพิ่มเติมนั่นก็คือว่า สตรีในสมัยของ อ. เปาโล นั้นขาดการถูกยกย่องจากทางสังคมให้เท่าเทียมกับผู้ชาย ในสภาพนั้นอาจมีสตรีที่อ่อนแอทางด้านสติปัญญา ในสภาพนั้นอาจมีสตรีที่หัวอ่อน คิดไม่รอบคอบหรืออาจจะฟังทุกคนที่พูด ซึ่งอาจจะไม่เข้าใจถึงหลักแห่งความจริงที่ถูกต้องก็เป็นได้ แต่เขาต้องการที่จะหลุดพ้นจากอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เคยพบทางออกเสียที พวกเผยแพร่พวกนี้ก็จะเข้ามาเผยแพร่ในตอนที่สตรีพวกนี้อยู่คนเดียว
พี่ - น้องยังจำได้ใช่ไหมครับ ? เหตุการณ์ที่สวนเอเดน มาร ซาตานมันไปหาใครระหว่างอาดำกับเอวา ซาตานมันมาหาเอวาตอนอยู่คนเดียวฉันใด มันก็ทำกับสตรีในสมัยของ อ.เปาโล ฉันนั้น
ด้วยเหตุนี้เองสตรีในสมัยของ อ.เปาโล ที่มีความอ่อนทางด้านศีลธรรม ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าหนาด้วยบาป จึงได้ตกเป็นเหยื่อของพวกนักค้าคำสอนเท็จ อาจจะพูดให้สวยงามขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็ได้ว่าสตรีเป็นลูกค้าที่เหมาะสมแก่คำสอนของพวกเขา
สตรีในสมัยของ อ.เปาโล ที่อ่อนแอทางศีลธรรมบางคน ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าหนาด้วยบาป จึงยอมให้พวกสอนเท็จเหล่านี้ลวงไปเป็นเชลย หรือเหมือนกับสตรีในเวลานี้ที่มีความอ่อนแอทางด้านศีลธรรม ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าหนาด้วยบาปจึงตกเป็นเหยื่อของพวกหมอดูประเภท ฟันธง คอนเฟริ์ม หรือแม่น 100 % เป็นต้น
หรือเหมือนกับสตรีในเวลานี้ ที่มีความอ่อนแอทางด้านศีลธรรม จึงถูกลวงไปเป็นเชลยด้วยล๊อตเตอร์รี่เพียงคู่หนึ่งที่เขาอ้างว่ามีมูลค่าสูงถึง 15 ล้านแต่ต้องไปเบิกเงินที่ธนาคารให้กับเขาก่อน ขอพระเจ้าช่วยพี่ - น้องในคริสตจักรแห่งนี้ ที่พี่ - น้องจะไม่เป็นสตรีที่อ่อนแอทางด้านศีลธรรม
เมื่อเรารู้ดังนี้แล้วว่าในยุคสุดท้ายนี้การเผยแพร่พระศาสนาจะเทียมเท็จมากขึ้นเราในฐานะที่เป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสตชนเราควรที่จะทำอย่างไรกันดี ? อันนี้ก็เป็นคำถามที่น่าสนใจ
พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 9 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า แต่เขาจะไปได้ไม่กี่น้ำ ซึ่งนั่นหมายความว่า คำสอนเหล่านี้จะไม่คงทนต่อกาลเวลา อาจจะกล่าวได้ว่า คำสอนเทียมเท็จหรือคำสอนปลอมนั้น จะส่อเค้าให้เห็นได้โดยอาศัย กาลเวลา เป็นตัวทดสอบ เพราะฉะนั้นคนที่เผยแพร่ก็ดี ผู้ที่มาเชื่อก็ดี ต่างจะต้องถูก กาลเวลา ทดสอบด้วยกันทั้งสิ้นซึ่งในที่สุดเราก็จะพบว่าคำสอนนั้นมันเป็นของปลอม
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.13 : 24-30 แล้วอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ เมื่อเราได้ศึกษาคำอุปมาเกี่ยวกับเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมานของพระเยซูแล้ว ใน มธ.13:24-30 เราก็พบว่า เราไม่ต้องทำอะไรเลย บางครั้งให้เราคอยเพียงอย่างเดียว แล้ว กาลเวลา จะเป็นตัวพิสูจน์ของแท้กับของเทียมได้ เช่น ในกรณีของยันเนสและยัมเบรส์ ซึ่งได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นของเทียมโดยการพิพากษาของใครครับ ? ของพระเจ้า
อ.เปาโล สอน ทิโมธี ว่าอย่าทำตนเป็นนักค้าคำสอนและดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนตน และนี่คือสภาพของสังคมที่คนของพระเจ้าจะต้องพบ และจะต้องฝ่าไปให้ถึงเส้นชัย
สรุป พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ 1 ) เราพบคุณธรรมของคนจะสิ้นยุค 2 ) เราพบการถือพระศาสนาของคนจะสิ้นยุค 3. เราพบพฤติกรรมการเผยแพร่พระศาสนาของคนเมื่อจะสิ้นยุค ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน