คำเทศนาเรื่อง สาวกแท้ของพระเยซู
สวัสดีครับพี่ - น้องที่รัก ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ. 28:19-20 ให้ที่ประชุมเปิดพระคำของพระเจ้าร่วมกันและอ่านพระคำของพระเจ้าใน 2 ข้อนี้ พร้อมๆกัน อย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ
และผมจะให้ชื่อคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า สาวกแท้ของพระเยซู ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่น้องที่รักครับ ถ้าเราจะนำเอาพระคำของพระเจ้าใน มธ.28 :19-20 มาเขียนเป็น Cycle หรือเขียนเป็น Diagram ก็คงจะเขียนได้ประมาณรูปที่พี่น้องเห็นบทกระดาน Power Point เนี่ยแหละ พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าให้เราประกาศและเป็นพยาน จบเพียงเท่านั้นไหมครับ ?
พระคำของพระเจ้า ยังได้บอกกับเราต่อไปอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าให้เรานั้นได้ทำไมครับ ? ให้บัพติสมากับเขาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จบเพียงเท่านั้นไหมครับ ? อีกทั้งให้เราสอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด เพื่อที่เขาจะถูกพัฒนาหรือถูกสร้างเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์ที่ใช้การได้ ทั้งนี้เพื่อที่เขานั้นจะได้ออกไปขยายอาณาจักรของพระเจ้าต่อไป
ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรพี่ - น้องที่รัก ? ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่ผู้เชื่อคนหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์ ที่ถูกใช้การได้นั้น มันเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติได้ไหมครับ ?
ดังนั้นเราจะต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นผู้ที่สร้างเราทั้งหลายขึ้นมาเพื่อเป็นสาวกของพระองค์ ผ่านการที่พี่ - น้องและผมได้ยอมให้ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมและตั้งเอาไว้ และหรือผู้ที่พระเจ้าได้ให้สิทธิอำนาจกับเขาเอาไว้ ซึ่งในที่นี้นั่นก็คือศิษยาภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักร และหรือผู้ที่เลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งเปรียบเสมือนกับพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ที่เสริมสร้างและพัฒนาเราขึ้นมา
พี่ - น้องที่รักครับ เพชรน้ำเอกก่อนที่มันจะส่องประกายและแวววาวขึ้นมาได้นั้น ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่า ไม่ใช่ช่างเจียระไนมันออกมาอย่างไรก็ได้แต่มันจะต้องผ่านการเจียระไนมาอย่างดี เช่นเดียวกับทองนพคุณที่บริสุทธิ์และสุกใส ก่อนที่มันจะมีมูลค่า มีราคานั้น มันก็จะต้องผ่านการหล่อหลอมมาอย่างดีด้วยเช่นกัน
ถ้าพี่ - น้องและผมจะเป็นสาวกที่พระเจ้าจะทรงโปรดใช้การได้เป็นอย่างดีนั้น พี่ - น้องและผมจะต้องยอม 1.ถูกสร้างก่อน 2. ถูกเจียระไนก่อน 3.ฟัดร่อนก่อน 4. ที่จะมีตัวเองให้น้อยที่สุด เราถึงจะเป็นผู้ที่ถูกส่งออกไปให้เกิดผลเหมือนกับสาวกของพระองค์
พี่ - น้องที่รักครับ คำว่า สาวก ในที่นี้ คือ ศิษย์ , ผู้เรียนรู้ , ผู้ติดตาม ซึ่งแตกต่างกับคำว่า อัครสาวกหรืออัครทูต ซึ่งคำว่า อัครสาวกหรืออัครทูต
นั้นหมายถึง สาวก 12 คน ที่เคยติดตาม อีกทั้งเคยอยู่กินและร่วมพำนักอาศัยกับพระเยซูอย่างใกล้ชิด ประการที่สำคัญ คือ ทั้ง 12 คนนั้นได้รับการเสริมสร้างโดยตรงจากพระเยซู ในหนังสือมก.3:14 ให้เราเปิดด้วยกันดีไหมครับ
พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เพื่อพวกเขาทั้ง 12 คน จะเป็นผู้ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า จะส่งออกไปเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่ที่ลึกลงไปกว่านั้น ที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราทั้งหลายในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่าไม่ว่าเราจะถูกเรียกว่าเป็นอัครสาวกหรือสาวก หรือก็ตาม แต่ที่ลึกลงไปกว่านั้นนั่นก็คือ เราทุกคนต่างถูกเรียกให้เป็นผู้ที่สืบทอดเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูคริสต์ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้นในเช้าวันนี้เราจะมาดูคุณสมบัติในการเป็นสาวกของพระเยซูแท้ด้วยกัน 3 ประการ
ประการที่ 1 อยู่ในหนังสือ ลก.14:26-27 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า"ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามาผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้”
พี่-น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่าพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ไม่ได้ไม่หมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะให้เรานั้นเกลียดชัง ผู้ที่เป็นบิดา มารดาหรือวงศ์วานญาติเครือของเราแต่อย่างใด อันนี้เราต้องเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน
และการที่ผมต้องกำชับพี่ - น้องผ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ก็เพราะว่าในอดีต ประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีพ่อแม่ผู้ปกครองบางคน ที่ทราบว่าลูกหลานของเขามาเป็นคริสเตียนแล้ว เขาเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาจึงหยิบเอาพระคัมภีร์ข้อนี้แหละไปให้ลูกหลานเขาดู
แล้วก็โน้มน้าวลูกหลานของเขา ซึ่งเป็นผู้เชื่อใหม่ว่า เห็นไหมคำสอนของพระเจ้า พระเยซูสอน สอนให้คนที่มาเชื่อพระเจ้าตัดพ่อ ตัดแม่ ตัดลูกกันเลย ซึ่งนั่นเป็นความจริงไหมครับ ? พี่ - น้องอย่าเพิ่งตอบ
แต่ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ลก. 14:26-27 ด้วยกันพระคำของพระเจ้าใน ลก. 14:26-27 ต้องการที่จะบอกกับเราอย่างนี้ครับว่า การที่เราจะเป็นสาวกขององค์พระเยซูอย่างแท้จริงได้นั้น
1.ความรักอื่นจะต้องไม่เป็นอุปสรรค
2.เราจะต้องรักพระองค์มากกว่าสิ่งอื่น พระคำของพระเจ้าในหนังสืออมตธรรมร่วมสมัย ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างนี้ครับว่า ถ้าผู้ใดจะเป็นสาวกของเรา แต่ไม่ได้รักพระองค์มากกว่าบิดา มารดาหรือวงศ์วานญาติเครือของตนผู้นั้นเป็นสาวกของพระองค์ไม่ได้
3.ความรักทีเรามีให้กับพระองค์นั้นจะต้องมีคุณค่าที่สูงส่ง
ดังพระคำของพระเจ้าที่ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ ลก. 10:27 ให้เราเปิดด้วยกันดีไหมครับ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และพระคำของพระเจ้ายังตรัสต่อไปอีกในปลายข้อที่ 27 อีกด้วยว่า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราว่า ด้วยความรักพระเจ้าแบบสุดๆๆๆนี้เอง จะทำให้พี่ - น้องและผม รักผู้อื่นได้ รักได้แม้กระทั่งผู้เป็นศัตรูของเรา คำถามก็คือว่า นี้เป็นความรักที่มีคุณค่าไหมครับพี่ - น้อง ?
ดังนั้นการที่คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า พระเยซู ได้หยิบเอาพระคัมภีร์ข้อนี้ไปตีความในทำนองที่ว่า คำสอนของคริสเตียนนั้นสอนให้ตัดพ่อ ตัดแม่ ตัดลูก ตัดญาติพี่ - น้อง คราวนี้ตอบได้แล้วนะครับว่าเป็นความจริงหรือไม่ ?
แต่ถ้าพี่ - น้องและผม ไม่ได้รักพระเจ้าอย่างที่ว่า คือ แบบสุด ๆๆๆ พี่ - น้องและผมก็คงจะไม่สามารถที่จะรักคนอื่นได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ดังนั้นการรักพระเจ้าแบบสุดๆๆๆนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
มีคำพูดคำหนึ่งที่วัยรุ่นชอบพูดกันมาก ซึ่งมันก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว คำนั้นก็คือคำว่า รักนะแต่ไม่แสดงออก
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเรารักใคร แต่เราไม่แสดงออกได้ไหมครับ ? ได้ แต่คุณเป็นสาวกของพระเยซูไม่ได้ เพราะรักในแบบขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะต้องมีการแสดงออกเป็นการกระทำเสมอ
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระคำของพระเจ้าใน ยน.21:15-17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า ซีโมนบุตรชายโยนาห์เอ๋ยท่านรักเราหรือ เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า ท่านรักเราหรือ และเขาทูลพระองค์ว่า พระองค์เจ้าข้าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รัก พระองค์พระเยซูตรัสกับเขาว่า จงเลี้ยงแกะของเราเถิด”
ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะให้เปโตรเป็นผู้ที่เลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์ด้วยความเต็มใจและด้วยใจที่อุทิศถวาย
ดังนั้นคุณสมบัติของสาวกแท้ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงโปรดใช้การได้นั้น ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พูดว่า พระองค์เจ้าข้า ข้ารักพระองค์เท่านั้น แต่เราต้องแสดงออก ด้วยการที่พี่ - น้องจะต้องมี ใจ ในการที่จะเลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณผู้อื่น ซึ่งในที่นี้นั่นก็คือ ผู้เชื่อใหม่หรือผู้เชื่อที่ยังไม่เติบโต ซึ่งเปรียบเสมือนลูกแกะของพระเจ้า
อีกทั้งพี่ - น้องจะต้องมี ใจ ในการที่จะเสริมสร้างฝ่ายจิตวิญญาณพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาให้เติบโตและเข้มแข็ง เพื่อเป็นสาวกที่สามารถจะสืบทอดเจตนารมณ์หรือพระประสงค์ของพระเจ้าได้
คุณสมบัติในการเป็นสาวกของพระเยซูแท้
ประการที่ 2 อยู่ในหนังสือ รม.11:36 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ ขอสง่าราศีจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ เอเมน
พระคำของพระเจ้าพูดกับเราอย่างชัดเจนว่า เพราะว่าสิ่งสารพัดนั้นมาจากพระองค์ โดยพระองค์ เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเป็นสาวกที่พระเยซูจะทรงโปรดใช้การได้นั้น เขาจะต้องมีทัศนคติ มีความคิดอย่างนี้อยู่ในชีวิตของเขาว่าทรัพย์และสิ่งของที่เขามีอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นของพระเจ้า มิใช่ของเรา และถ้าพี่-น้องคิดอย่างนี้จริงๆนะครับ พี่ - น้องก็สามารถที่จะสละสิ่งที่พี่ - น้องมีอยู่ได้ไหมครับ ? ได้ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า พระเจ้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง
แต่เมื่อเราได้วางชีวิตของเราลงกับวิถีของโลกนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป อีกทั้งเต็มไปด้วยคำสอนในทำนองที่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จคือ คนที่ได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิ่งของเป็นจำนวนมาก ซึ่งวิถีของโลกสอนแบบนี้จริงหรือไม่ครับพี่ - น้อง ?
คำถามก็คือว่า คำสอนนี้ได้สอนหรือได้ให้อะไรแก่เรา ? ส่วนตัวผมนะครับ ผมคิดว่าคำสอนนี้
1)ทำให้เราไม่ต้องการที่จะสูญเสียอะไร หรือสอนให้เรานั้นสูญเสียให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
2)ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ที่จะเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนว่า ให้ คือ การได้รับ
3)ต้องการที่จะสอนให้เรารู้ว่า ความมั่นคงของชีวิตมนุษย์นั้น อยู่ในน้ำมือของเรา แต่พระคำของพระเจ้าในหนังสือ สุภาษิต 3:6 บอกกับเราว่า
จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อาจจะกล่าวได้ว่า คำสอนของโลกนี้ มักจะขัดแย้งกับคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสมอ
ดังนั้นเมื่อพี่ - น้องได้วางชีวิตของพี่ - น้องลงกับวิถีของโลกพี่ - น้องก็จะคิดแบบโลก ความคิดและทัศนคติที่ว่า ทรัพย์และสิ่งของที่พี่ - น้องมีอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นของพระเจ้ามิใช่ของเรา พี่ - น้องคิดว่าความคิดนี้มันจะหลงเหลืออยู่ไหมครับ ?ถ้ามันหลงเหลืออยู่ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็คงไม่ตรัสเอาไว้ใน ลก.14:33 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ก็เช่นนั้นแหละ ผู้ใดในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า ความคิดแรกเริ่มนั้นมันจะค่อยๆถูกกลืนไป
ดังนั้น ผู้ที่จะเป็นสาวกแท้ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า จะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดและมีทัศนคติที่ได้กล่าวเอาไว้อย่างนั้นจริงๆว่า ทรัพย์และสิ่งของที่เรามีครอบครองอยู่นั้นเป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของเรา
พี่ - น้องยังจำเรื่องราวของอับราฮัมที่มอบถวายอิสอัคให้กับพระเจ้าได้ไหมครับ ? สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า สาวกแท้ของพระเยซูก็จะต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะสละ เมื่อพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะเรียกคืน
คำถามคือว่า ? วันนี้พี่ - น้องพร้อมมั้ยที่จะให้พระเจ้าทรงเรียกคืน
พี่ - น้องยังจำเรื่องราวของฟิลิปกับขันทีชาวเอธิโอเปีย ในกิจการ 8 : 26-40 ได้ไหมครับ? สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้พี่ - น้องออกไปทำพระราชกิจของพระองค์ เหมือนกับอัครสาวกของพระองค์คนนี้ คำถามคือว่า พี่ - น้องมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ที่จะลุกขึ้นและก้าวออกไป โดยไม่มีแม้ ไม่มีแต่หรือมีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
หรือพี่ - น้องจะเป็นเหมือนกับโมเสส ที่พระคำของพระเจ้าในหนังสือ อพยพ 3 : 10 - 22 ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อพระเจ้าต้องการที่จะใช้โมเสสเป็นผู้ปลดปล่อยชนชาติของพระองค์เนื่องจากการตกเป็นทาสของอียิปต์มานาน พอโมเสสรู้เท่านั้นแหละว่าพระเจ้าจะใช้เขา โมเสสก็ได้อ้างเหตุผลจิปาถะกับพระเจ้าพี่ - น้องอยากเป็นแบบไหน ?
ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า
1. การที่เรายอมอุทิศทุกสิ่งแด่พระเจ้า ก็เพื่อเราทั้งหลายนั้นจะได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
2. การที่เรายอมสละทุกสิ่งเพื่อพระองค์ ก็เพื่อที่เราจะได้รับพระพรที่ไม่รู้จักจบสิ้นจากพระเจ้า
11 สาวกของพระเยซูที่เหลืออยู่ ( ไม่นับยูดาสซึ่งได้แขวนคอตายไปแล้ว ) เขามองว่านี่เป็นโอกาส เขามองว่านี่เป็นนาทีทอง ที่เขาจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้สาวกทั้ง 11 คนของพระเยซู จึงยอมที่จะสละทุกสิ่งเพื่อพระองค์แม้กระทั่งชีวิตของพวกเขา ซึ่งในเวลานั้นก็ยังไม่ได้มีการแต่งบทเพลงนมัสการพระเจ้าที่ร้องว่า ข้ายอมทุกสิ่ง มาร้องกันในเวลานั้นเหมือนกับพวกเราในเวลานี้ แต่พวกเราซึ่งร้องบทเพลงว่า ข้ายอมทุกสิ่ง ในเวลานี้ที่คริสตจักร แต่จริงๆแล้วเราได้ ยอมทุกสิ่ง อย่างบทเพลงที่เราได้ร้องหรือไม่
ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้น พระองค์ทรงมีเหตุและมีผล พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทอดพระเนตรภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคน เป็นความจริงที่พระองค์ทรงเรียกร้องให้เราทั้งหลายนั้นสละสิ่งสารพัดเพื่อพระองค์
แต่ถ้าพี่ - น้องยังไม่พร้อมที่จะตายเพื่อพระองค์ พระองค์ก็คงไม่เรียกให้พี่ - น้องต้องสละชีวิตของพี่ - น้องเพื่อพระองค์ เพราะฉะนั้นพี่ - น้องไม่ต้องห่วง
แต่พระเจ้าต้องการที่จะถามพี่ - น้องในเช้าวันนี้ว่า ลูกเอ๋ย...แล้วมีอะไรบ้างเล่าที่เจ้าพร้อมที่จะสละเพื่อเราได้ในเวลานี้
เจ้าสละวันแรกของสัปดาห์ให้กับพระเราอย่างสัตย์ซื่อได้ไหม ? OT
เจ้าสละเวลาที่จะร่วมกับพี่ - น้องในคริสตจักรเพื่อออกไปประกาศ เป็นพยานได้ไหม ? อาย
เจ้าสละเวลาเพื่อไปร่วมกลุ่มนมัสการอธิษฐาน กับพี่ - น้องในคริสตจักรระหว่างสัปดาห์ได้ไหม ? ไม่มีเวลา
เจ้าสละเวลาเพื่อที่จะไปร่วมหนุนใจผู้เชื่อใหม่หรือผู้เชื่อเก่าที่ยังไม่เติบโตได้ไหม ? ลูกไม่รู้ว่าจะหนุนใจอะไร
เจ้าสละทรัพย์เติมเงิน เพื่อที่จะโทรศัพท์อธิษฐานเผื่อใครสัก 10 คนในเดือนนี้ได้ไหม ? ลูกอธิษฐานไม่เก่ง
เจ้าสละชั่วโมงที่หนึ่งของแต่ละวันให้กับพระเจ้า เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวได้ไหม ? ลูกต้องรีบไปทำงาน
เจ้าสละชั่วโมงสุดท้ายก่อนนอน เพื่อที่จะอธิษฐานกับเราสักชั่วโมงจะได้ไหม ? 10 นาที่ได้ไหมพระองค์เจ้าข้า
ผู้เชื่อที่มีทัศนคติหรือมีความคิดอย่างนี้ เขาจะร้องเพลงนมัสการที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ใน Version นี้ครับ ข้ายอมบางสิ่ง จะเชื่อฟังพระองค์บางอย่าง สิ่งใดที่ทรงบัญชา ข้าขอพิจารณา เมื่อรู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัย ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก ที่พี่ - น้องได้พลาดโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการที่จะได้เป็นสาวกแท้ขององค์พระเยซูคริสต์
คุณสมบัติในการเป็นสาวกของพระเยซูแท้
ประการที่ 3 อยู่ในหนังสือ 2 ทมธ. 2 : 2 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงมอบคำสอนเหล่านั้นซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายคนไว้กับคนที่สัตย์ซื่อ ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย
พี่ - น้องที่รักครับ สาวกแท้ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เขาจะต้องสืบทอดพระมหาบัญชา ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตรัสสั่งเอาไว้ใน มธ.28 : 19-20 ด้วยเหตุนี้ อ.เปาโล จึงได้กำชับทิโมธี ซึ่งเปรียบเสมือนกับบุตรชายของ อ.เปาโล
อ.เปาโลบอกกับทิโมธีว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่หรือน้ำพระทัยของพระเจ้าจะสำเร็จอย่างแน่นอน ถ้าเขานั้นได้ถ่ายทอดเจตนารมณ์หรือมอบคำสอนนี้ไปยังคนที่สัตย์ซื่อ
อ.เปาโล บอกกับทิโมธี ใน 2 ทิโมธี 2:3 ว่า คนที่สัตย์ซื่อนี้เมื่อเขาได้รับคำสั่งหรือได้รับบัญชาแล้ว เขาจะเคร่งครัด เขาจะทำหน้าที่ดุจทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์
ดังนั้นไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหนก็ตามอ.เปาโลได้กำชับกับทิโมธีเอาไว้ว่า เจ้า จง อดทนในการที่จะเสริมสร้างพวกเขาเหล่านี้ขึ้นมา
พี่ - น้องจำได้ไหมครับว่า องค์พระเยซูคริสต์ของเรานั้น พระองค์ต้องอดทนในการสร้าง 12 สาวกให้เป็นผู้ที่พระเจ้าจะทรงโปรดใช้การได้ พระองค์ยังต้องใช้เวลากี่ปีเลยครับ ? ประมาณ 3 - 3.5 ปีโดยประมาณ
คำถามคือว่า แล้วเราล่ะ เราควรจะต้องใช้เวลากี่ปี ในการที่จะเสริมสร้างหรือพัฒนาผู้เชื่อคนหนึ่ง ให้ขึ้นมาเป็นสาวกแท้ ที่องค์พระเยซูคริสต์จะทรงโปรดใช้การได้ พี่ - น้องคิดว่ากี่ปีครับ ? เอาเป็นว่า ก่อนที่เราจะตอบให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าใน 2 ข้อนี้ด้วยกัน
ข้อแรกอยู่ใน ลก.6:40 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้ว ก็จะเป็นเหมือนครูของตน จากพระคำของพระเจ้าข้อนี้พี่ - น้องคิดว่าเราต้องใช้เวลากี่ปีครับ ?
ข้อที่ 2 อยู่ในหนังสือ 1 ยน. 4:13 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา
จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้พี่ - น้องคิดว่าเราจะต้องใช้เวลากี่ปีครับ ? เราเองก็ควรที่จะใช้เวลาในการเสริมสร้างและพัฒนาความเชื่อ ของผู้เชื่อใหม่คนหนึ่งขึ้นมาเพื่อเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์ที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้ในระยะเวลาเดียวกันกับที่พระองค์ ได้ทรงเป็นผู้ตั้งต้นและกระทำการให้เราดูเอาไว้เป็นแบบอย่าง นั่นก็คือ 3 - 3.5 ปี ซึ่งมันไม่ควรเกินกว่านี้
แต่ที่มันต้องใช้เวลาเกิน 3 - 3.5 ปีเพราะอะไร ? เพราะชีวิตของคนที่ถ่ายทอดเจตนารมณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในทุกวันนี้ มันหาดูยากขึ้นทุกที
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมขออนุญาตที่จะเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นนะครับ พี่ - น้องสังเกตดูจากบุคคลที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ?
1. พระหรือเณรที่เข้ามาบวชใหม่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร : เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วกันมากขึ้นไหม
2.พระที่มีพรรษาหน่อยเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร : บ้างก็แอบเสพบ้างก็แอบค้า บ้างก็แอบซ่อนน้องกุ๊ก บ้างแอบซ่อนน้องกิ๊ก
3.พระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะเป็นอย่างไร : ถูกชาวบ้านไล่มากขึ้นหรือน้อยลง กล่าวโดยสรุป คือ มันหาแบบอย่างที่ดียากขึ้นทุกวัน
เฉกเช่นเดียวกับผู้เชื่อในสมัยนี้ ที่หลายคนเอาพระเยซูแต่เพียงเปลือกนอก ผู้รับใช้ของพระเจ้าหลายคนก็เช่นกัน ที่บางคนและหลายคน มักจะพูดพระคำให้คนอื่นฟัง พูดพระธรรมบัญญัติให้คนอื่นปฏิบัติ
ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องใช้หลายปี กว่าจะสร้างผู้เชื่อใหม่คนหนึ่งขึ้นมาเป็นสาวกที่องค์พระเยซูคริสต์จะทรงโปรดใช้การได้
ผมอยากที่จะแบ่งปันประสบการณ์ในการรับใช้กับพี่ - น้องอย่างนี้นะครับว่า ถ้าพี่ - น้องไม่เคยอภิบาลหรือไม่เคยเลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณใครมาก่อนเลยพี่ - น้องก็จะไม่ทราบว่า ผู้เชื่อใหม่โดยส่วนมากนั้น เขาหูไม่ดี....แต่ตาของเขานั้นดีมาก
เพราะฉะนั้นผู้เชื่อใหม่โดยส่วนมาก พอพี่ - น้องพูดอะไรไป เขามักจะไม่เข้าใจ แต่ตาของเขามักจะเห็นในสิ่งที่พี่ - น้องได้กระทำ ดังนั้นเขาจึงมองชีวิตของคนที่พูดนั้นแหละว่าได้ทำอย่างที่พูดหรือไม่ เช่น
1) ถ้าพี่ - น้องพูดกับผู้เชื่อใหม่หรือน้องเลี้ยงของพี่ - น้องในเรื่องความสัตย์ซื่อ ไม่ว่าจะเป็นความสัตย์ซื่อในเรื่องอะไรก็ตาม ในทันใดนั้นเองสายตาของน้องเลี้ยงพี่ - น้องเขาก็จะมองว่า แล้วชีวิตของท่านล่ะ ท่านได้สัตย์ซื่อกับพระเจ้าอย่างที่ท่านได้สอนเขาหรือไม่
2) ถ้าพี่ - น้องพูดกับผู้เชื่อใหม่หรือน้องเลี้ยงของพี่ - น้องในทำนองที่ว่า ถ้าวันนี้คุณเป็นผู้ตามที่ดีวันหน้าคุณก็จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ในทันใดนั้นเองสายตาของน้องเลี้ยงพี่ - น้อง เขาก็จะมองว่า แล้วชีวิตของท่านล่ะ ท่านได้เป็นผู้ตามที่ดีเหมือนอย่างที่ท่านได้สอนเขาหรือยัง
3) ถ้าพี่ - น้องพูดกับผู้เชื่อใหม่หรือน้องเลี้ยงของพี่ - น้องในทำนองที่ว่า ถ้าวันนี้นะน้องยอมถูกสร้างอย่างสัตย์ซื่อ แล้วน้องจะเป็นสาวกแท้ของพระเยซูที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้ ในทันใดนั้นเองสายตาของน้องเลี้ยงของพี่ - น้อง เขาก็จะมองว่า แล้วชีวิตของท่านล่ะ ท่านได้ยอมให้ผู้อื่นได้สร้างชีวิตของท่านมากน้อยแค่ไหน
และด้วยการที่ชีวิตของผู้ที่จะสอน หรือผู้ที่จะเสริมสร้างเขายังไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยเหตุนี้ทำให้เราจึงต้องใช้เวลามากกว่าหรือนานกว่าพระเยซู เพราะฉะนั้นชีวิตของผู้ที่จะสอนหรือเสริมสร้างเขา สำคัญไหมครับ ? สำคัญมาก ด้วยเหตุนี้พี่ - น้องและผมจำเป็นที่จะต้องรักษาชีวิตของเราเอาไว้ให้ดีๆ
ขนาดองค์พระเยซูคริสต์เจ้า รักษาชีวิตของพระองค์อย่างดีและไม่เคยทำบาปเลย พระองค์ยังต้องใช้เวลา 3 - 3.5 ปี และถ้าเรารักษาชีวิตบ้างไม่รักษาชีวิตบ้าง เราจะต้องใช้เวลานานขนาดไหนพี่ - น้องลองพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน
การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง ได้ผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อะไรขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง พี่ - น้องคิดว่าก่อนที่เขาจะวางจำหน่ายได้นั้นเขาต้องมีการทดสอบไหมครับ ? การสร้างสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็เช่นเดียวกัน ที่จะต้องมีการทดสอบ
คำถามก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงทดสอบสาวกของพระองค์อย่างไร ?
ในมก.16:15-19 โดยเฉพาะข้อที่ 19 ทำให้เราทราบว่า เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ไปเลย หมายความว่าอย่างไรครับ ?
หมายความว่า เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกับเหล่าสาวกของพระองค์แล้วพวกเขาเหล่านั้นยังคง
1.สัตย์ซื่อในการประกาศเป็นพยานอยู่หรือไม่
2.ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของพระองค์อยู่หรือไม่
3.เกิดผลในการถ่ายทอดเจตนารมณ์ของพระองค์กับคนที่สัตย์ซื่ออยู่หรือไม่
พระคำของพระเจ้าในหนังสือยน.15:8 ตรัสว่า พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้ คือ เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านจึงเป็นสาวกของเรา ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกับสาวกของพระองค์ แล้วพวกเขาก็ยังคงทำตามในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงตรัสสอนเอาไว้ แล้วก็จะต้องทำอย่างเกิดผลด้วย นั่นก็เท่ากับว่าพวกเขาได้เป็นสาวกแท้ของพระองค์แล้ว
คำถามก็คือว่า วันนี้พี่ - น้องมีความฝันมีความหรือมีความปรารถนาที่จะเป็นสาวกแท้ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเหมือนกับ 11 สาวกในยุคแรกไหมครับ ? ถ้าพี่ - น้องปรารถนาพี่ - น้องก็จะต้อง
1.เป็นผู้ที่รักพระเยซูแบบสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลังและสุดความคิด
2.ยอมเสียสละและอุทิศทุกสิ่งเพื่อพระองค์ได้
3.เป็นคนที่สัตย์ซื่อ และจะต้องเป็นผู้ที่ถ่ายทอดหรือสามารถสอนผู้อื่นได้
และในเช้าวันนี้ พระองค์ทรงสถิตและอยู่ด้วยกับพี่ - น้องและข้าพเจ้า และพระองค์ปรารถนาที่จะถามพี่-น้องชายหญิงทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เหมือนกับที่พระองค์ทรงถามซีโมนเปโตร เมื่อสองพันกว่าปีที่ผ่านมาว่า เจ้ารักเราหรือ แล้วพี่ - น้องจะตอบพระองค์เช่นไร ? และก่อนที่พี่น้องจะตอบผมอยากที่จะให้พี่น้องได้ฟังพี่ ? น้องด้วยกัน
ถ้าพี่ - น้องตอบว่า ข้ารักพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะตอบกับพี่ - น้องเหมือนกับที่พระองค์ทรงตอบกับเปโตรว่า จงเลี้ยงแกะของเรา