คำเทศนาเรื่อง สู่ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก คลส. 3:5-17 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า สู่ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่ - น้องที่รักครับ มีเด็กชายคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่แออัดมาก เด็กชายคนนี้พักอาศัยอยู่กับบิดา - มารดาและพี่ - น้องของเขา เมื่อฐานะของที่บ้านเริ่มดีขึ้น ร่ำรวยมากขึ้น พวกเขาจึงพากันย้ายไปอยู่ในบ้านที่ใหญ่ขึ้น
และเมื่อถึงเวลาอันสมควรพี่ชายและพี่สาวของเด็กชายคนนี้ก็แต่งงานและได้ย้ายออกจากบ้านไปเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ ซึ่งก็น่าจะทำให้บ้านของเด็กชายคนนี้ลดความแออัดยัดเยียดลงไปได้พอสมควร แต่ในความเป็นจริงแล้วกับไม่ใช่อย่างนั้น บ้านของพวกเขาก็ยังคงแออัดยัดเยียดอยู่เหมือนเดิม เก็บเท่าไหร่ กวาดเท่าไหร่ก็ยังแออัดยัดเยียดเหมือนเดิม
วันหนึ่งคุณพ่อของเด็กชายคนนี้ได้ลุกขึ้น แล้วชวนสมาชิกในบ้านที่เหลืออยู่ให้ช่วยกันเก็บทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ สิ่งของที่ไม่จำเป็น บ้างก็แจกจ่าย บ้างก็ให้ทาน บ้างก็ทิ้งขยะ บ้างกำจัดด้วยการเผา
ผลที่ออกมาปรากฏว่าบ้านของพวกเขาดูสะอาด งามตา ผิดหู ผิดตาไปจากเดิมเป็นอย่างมาก อาณาเขตบริเวณที่มีพื้นที่มากขึ้น ทำให้บ้านดูมีสง่าราศี มากขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบ้านของเด็กชายคนนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ต้องการทั้งสิ้น แต่เขาได้เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้จึงทำให้บ้านดูแออัดยัดเยียดอยู่ตลอดเวลา
พี่ - น้องที่รักครับ ชีวิตคริสเตียนหรือชีวิตของผู้เชื่อหลายๆคนก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรจากบ้านหลังนี้สักเท่าไหร่เลย หลายคนมาเชื่อพระเจ้าแต่ยังชอบอยู่ในชีวิตเดิมหรือชีวิตเก่า
หลายคนมาเชื่อพระเจ้า แต่ชอบที่จะอยู่ในการกระทำเดิม ความคิดเดิม คำพูดเดิมและชอบที่จะอยู่ในบรรยากาศแบบเดิมๆ
ชีวิตเดิมหรือชีวิตเก่า การกระทำเดิม ความคิดเดิม คำพูดเดิมและบรรยากาศแบบเดิมๆเหล่านี้ เปรียบได้เหมือนกับขยะในชีวิตของเรา ขยะเป็นสิ่งที่หอมหรือเหม็นครับพี่ - น้อง ?
ก่อนมาเชื่อพระเจ้า เราได้ปล่อยให้ขยะหรือสิ่งที่มันเหม็น ซึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตาย อยู่ในชีวิตเดิมหรือในชีวิตเก่าของเรามานานพอสมควรแล้ว ดังนั้นเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ควรที่จะให้ขยะหรือสิ่งที่เหม็นๆเหล่านี้ ดำรงอยู่ในชีวิตของเราอีกต่อไป อาเมนไหมครับ คำถามคือว่า ในเช้าวันนี้มีพี่ - น้องกี่ท่านครับ ที่พร้อมจะกำจัดขยะหรือสิ่งที่เหม็นๆออกจากชีวิตของท่าน และพร้อมที่จะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?
เราพบว่าพระคำของพระเจ้าได้สอนเรา ถึงขั้นตอนของการก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ 4 ประการด้วยกัน
ประการที่ 1อยู่ในข้อ 5-7 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้นจงประหารโลกีวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่วและความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ เพราะสิ่งเหล่านี้พระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา ครั้งหนึ่งท่านเคยประพฤติสิ่งเหล่านี้ด้วย ครั้งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้
ประการที่ 1คือ ต้องยอมสลายตัวเก่า
ในข้อที่ 5 พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า จง คำว่า จง คำนี้เป็นเหมือนกับคำสั่งให้ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติไม่ได้ ดังนั้นถ้าพี่ - น้องจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างแท้จริงพี่ - น้อง จะต้องทำอย่างไรครับ ? พี่ - น้อง จะต้องยอมสลายตัวเก่าด้วยการ ประหาร
ซึ่งคำว่า ประหาร คำนี้ แปลได้มากมายหลายความหมาย เช่น ฆ่า ทำลาย ตัดทิ้งหรือตัดขาดโดยไม่มีเยื่อใยหรือไม่มีความสัมพันธ์กันอีกต่อไป
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า สิ่งที่เราต้องประหารหรือทำลายนั้นมีอะไรบ้าง ?
พระคัมภีร์พูดถึงโลกียวิสัย คำถามคือว่า โลกียวิสัยคืออะไร ?
โลกียวิสัย คือ อวัยวะที่ยังทำบาป เช่น
1) คำพูดที่ออกมาจากริมฝีปาก
2) ขาและเท้าที่นำเราเดินไปในแหล่งอบายมุข
3) ความคิดจากสมองในเรื่องสกปรกและโหดร้าย
4) การล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว ความโลภ การไหว้รูปเคารพ นี่คือ อวัยวะ คือ ร่างกายของเรา ที่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจบาปในโลกนี้
ซึ่งเมื่อก่อนเราได้เกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งเหล่านี้จนเป็นเรื่องที่ปกติ แม้ว่าเราจะมาเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นโลกียวิสัยมันยังไม่ถูกกำจัดออกไป นั่นก็เท่ากับว่า เราอนุญาตให้มันหลบซ่อนอยู่ในชีวิตของเรา
เมื่อเราอนุญาตให้มันหลบซ่อนอยู่ในชีวิตของเรา มันก็ง่ายมากที่เจ้า โลกียวิสัย มันจะมีอิทธิพลอยู่เหนือชีวิตของเรา
ปัจจุบันนี้สื่อต่างๆที่ออกมาเป็นไงครับ ? ง่ายมากที่มันจะปลุกเจ้าโลกียวิสัย ที่หลบซ่อนอยู่ในชีวิตของเราออกมา ให้เราง่ายต่อการที่เราจะ
1)ล่วงประเวณี 2)มีราคะตัณหา 3)ทำการโสโครก
4)ทำความปรารถนาชั่ว 5)การโลภซึ่งเป็นการไหว้รูปเคารพ
ดังนั้นถ้าเราจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เราจะต้องยอมสลายตัวเก่าโดยการ
สั่งประหารเจ้า โลกียวิสัย นี้ด้วยตัวของเราเอง
คำสั่งฆ่าหรือคำสั่งประหารนี้เขาสั่งกันเล่นๆหรือเขาสั่งกันจริงๆครับพี่ - น้อง ?
เพราะฉะนั้นให้เราสั่งประหาร โลกียวิสัย 1 ) ด้วยคำสั่งที่ไม่ล้อเล่นกับมัน 2 )ด้วยคำสั่งที่เราไม่มีเยื่อใยต่อกัน เพราะถ้าเราสั่งประหารเจ้า โลกียวิสัย โดยการที่เรายังมีเยื่อใยต่อกัน คำสั่งประหารนั้นก็จะทำให้เจ้าโลกียวิสัยมันเพียงแค่สลบไปเท่านั้นและเมื่อมันตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็พร้อมที่จะขัดขวางท่านในการที่ท่านจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์
ประการที่ 2อยู่ในข้อ 8 - 9 แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือ ความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย คำพูดหยาบโลน อย่าพูดมุสาต่อกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่า กับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว
ประการที่ 2 คือ ต้องยอมปลดเปลื้อง
ในข้อที่ 8 นี้พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า จงเปลื้องทิ้งเสีย
จงเปลื้อง คำนี้แปลได้มากมายหลายความหมาย เช่น จงเลิก จงทิ้ง จงเลิก จงละ ขอให้เราละทิ้ง เป็นต้น ดังนั้นถ้าพี่ - น้องจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พี่ - น้องจะต้องทิ้งขยะเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ออกไปให้หมดสิ้น
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า สิ่งที่เราต้องเปลื้องทิ้งหรือเลิกที่จะทำนั้นมีอะไรบ้าง ?
สิ่งที่เราต้องเปลื้องทิ้งหรือเลิก ที่จะทำนั้นมี 6 อย่างด้วยกัน มีอะไรบ้างครับ ?
ความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย คำพูดหยาบโลน การพูดมุสา
ทำไมพระคัมภีร์ถึงพูดถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำให้เรากระทำต่อคนอื่นในแง่ลบ พี่ - น้องว่าจริงไหมครับ ?
ผมขออนุญาตพาพี่ - น้องย้อนกลับไปที่ชีวิตเก่าของพี่ - น้องสักนิดหนึ่ง
ถ้าพี่ - น้องโกรธหรือขัดเคืองกับใครสักคน พี่ - น้องทำอย่างไรกับคนๆนั้นครับ
หน้าไม่อยากเห็น ก้นไม่อยากมอง เสียงก็ไม่อยากได้ยิน พี่ - น้องเป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
พระคัมภีร์พูดถึงการพูดหยาบโลน : การพูดหยาบโลนคำนี้แปลได้ว่า คำพูดที่หยาบคาย คำพูดที่ลามากอนาจาร คำพูดที่น่าขยะแขยง
ชีวิตเก่าของเราถ้าพี่ - น้องโกรธหรือขัดเคืองกับใคร พี่ - น้องทำอย่างไรกับคนๆ นั้นครับ
หลายๆคนและหรืออาจจะทุกคน พูดไปพลาง ก็จะมีสัตว์ประเภทหนึ่งหรืออาจจะหลายประเภทออกจากปากของเราไปด้วยจนคนฟังตามเก็บกันไม่ทัน
หลายคนและหรืออาจจะทุกคน พูดไปพลาง ก็จะมีอวัยวะบางส่วนหรืออาจจะหลายๆส่วนของร่างกาย ออกจากปากของเราด้วย จนคนฟังต้องคอยหลบให้ทันไม่อย่างนั้นอาจจะโดนเข้าเต็มก็ได้ ซึ่งชีวิตเก่าของเราได้พูดด้วยคำพูดเหล่านี้ทั้งสิ้น จริงหรือไม่จริง ?
พระคัมภีร์พูดถึง การพูดมุสา ซึ่งนั่นหมายความว่า ความโกรธหรือความขัดเคืองใจนั้นนำไปสู่การพูดให้ร้ายป้ายสีหรือคิดที่จะทำร้ายหรือทำลายกัน คนที่โกรธเคืองกันและไม่พูดให้ร้ายป้ายสีกัน พี่ - น้องคิดว่ามีไหม ? มี เพราะเขาถือสุภาษิตไทยที่ว่า เมื่อพูดดีกับเขาไม่ได้ก็อย่าพูดให้ร้ายเขา
มีพนักงานบริษัทคนหนึ่งชื่อ Aทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานในแผนกเดียวกับเขาชื่อ B
วันหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่นั้นเอง ได้มีคนเข้ามาขโมยทรัพย์สินของแผนก ซึ่งทรัพย์สินนั้นอยู่ในการดูแลของ น.ส.A ผจก.แผนกจึงเรียกพนักงานทุกคนมาถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้นพอมาถึง น.ส. B ซึ่งเป็นคู่กรณีกับ น.ส. A
และ น.ส. B ก็ถือสุภาษิตไทยที่ว่า เมื่อพูดดีกับเขาไม่ได้ก็อย่าพูดให้ร้ายเขา น.ส. B จึงตอบผู้จัดการไปว่า ดิฉันไม่ทราบ พี่ - น้องคิดอย่างไรครับ ?
การพูดน้อยกว่าความจริง และหรือ การพูดความจริงไปอีกเล็กน้อยนั้น มาจากวิญญาณแห่งการหลอกลวง
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา ขอให้เป็นแค่ชีวิตเก่าหรือวิสัยเก่าของเราคือก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซูนะครับ เมื่อเรามาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ทรงสถิตอยู่ภายในเรา หากผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนตระหนักว่า ร่างกายนี้เป็นที่ๆพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่อย่างแท้จริง
พี่ - น้องคิดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไหมครับ ?
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่กระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ เราเองก็ไม่ควรที่จะกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้เช่นเดียวกัน
พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราไม่ตัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งเสียเราเองก็ไม่สามารถที่จะ
1 ) ก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้
2 ) เข้าไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้าได้
ดังนั้น การดำเนินชีวิตที่จะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้น เราจะต้องหมั่น X - Ray หมั่นที่จะคอยสำรวจตรวจสอบชีวิตของเราอยู่เสมอๆ
ถ้าพบว่าสิ่งเหล่านี้เข้ามาในชีวิตของเราเมื่อไหร่ ให้เรารีบที่จะตัดสิ่งต่างๆเหล่านี้ทิ้งเสีย
ขั้นตอนของการก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์
ประการที่ 3 อยู่ในข้อที่ 10พระคำของพระเจ้าตรัสว่า และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้างให้รู้จักพระเจ้า
ประการที่3 คือ ต้องสวมวิสัยมนุษย์ใหม่หรือสวมชีวิตใหม่
พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า สวม
คำว่า สวม คำนี้หมายถึงเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ ประดา เครื่องตบแต่ง
พระคำของพระเจ้าต้องการให้ชีวิตใหม่ของเรานั้นถูกประดับ ประดาไปด้วยสิ่งที่งดงามหรือสิ่งที่สวยงามทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่ถวายพระเกียรติยศแด่พระองค์
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า เราจะต้องสวมอะไรหรือเราจะต้องประดับประดาด้วยอะไร ?
ในข้อที่ 12-15 บอกกับเราว่า ให้เรานั้นสวมเครื่องประดับใจ ซึ่งได้แก่ ใจเมตตา ใจปราณี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน ใจผ่อนหนักผ่อนเบา ใจยกโทษ ใจกตัญญู ใจที่มีสันติสุข ใจรัก ผู้เชื่อทุกคนจะต้องสวมหรือประดับทั้ง 10 ใจนี้เอาไว้ในชีวิตของเรา
ผู้เชื่อคนใดก็ตามที่ไม่สามารถ สวมหรือประดับ ใจทั้ง10ใจนี้เอาไว้ในชีวิตของเขาได้ มันก็เป็นสิ่งที่ยากที่ผู้เชื่อคนนั้นจะก้าวไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ได้
เพราะใจทั้ง 10 ใจนี้ เป็นพระลักษณะอย่างหนึ่งของพระบิดาของเรา ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้ให้แก่เราทั้งหลาย ตั้งแต่วันแรกที่เราได้ต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต
คำถามคือว่า เวลานี้ใจทั้ง 10 ใจนี้ ได้ปรากฏอยู่ในชีวิตของพี่ - น้องมากน้อยแค่ไหน ?
พระคำของพระเจ้าใน สภษ.4:23 ตรัสดังนี้ว่า จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวในรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
คำถามคือว่า วันนี้เราได้รักษาใจทั้ง 10 ใจของเรานี้ไว้ ด้วยความระวัง ระไวมากน้อยแค่ไหนครับ ?
พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ไม่เคยบกพร่องในเรื่องนี้ แม้ว่าการปรนนิบัติรับใช้ของพระองค์นั้นจะต้องเผชิญกับอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างมากมาย แต่พระองค์ก็ทรงรักษาใจทั้ง 10 ใจของพระองค์นี้ไว้ ด้วยความระวัง ระไวในทุกรอบด้านตลอดเวลาเสมอ
พระคำของพระเจ้าใน มธ.5:8 ตรัสดังนี้ว่า บุคคลผู้ใดมีใจที่บริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
จากพระคำของพระเจ้าใน มธ. 5:8 ทำให้เราทราบว่า เราไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นผู้เชื่อแบบพื้นๆหรือแบบธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น แต่เราถูกเลือกให้เป็นผู้ที่จะได้พบกับพระพักตร์ของพระองค์ด้วยดังนั้นให้เราสวมชีวิตใหม่โดยประดับใจทั้ง 10 ใจนี้ไว้ตลอดชีวิตของเราเสมอ โดยใช้ ความรักสวมทับใจทั้ง 10 ใจนั้นเอาไว้ทั้งหมด
แน่นอนในความเป็นมนุษย์ของเรานั้น มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ใจของมนุษย์นั้นทำไม่ได้ เช่น ใจแห่งการยกโทษ แต่เมื่อเราใช้ความรักของพระเจ้าสวมทับใจนี้
พี่ - น้องทราบไหมครับ ใจของท่านและของเขานั่นแหละ ที่จะได้รับการรักษาจากพระเจ้านี่คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และนี่เป็นชีวิตใหม่ ที่พระเจ้าปรารถนาที่จะให้ผู้เชื่อทุกคนได้สวมใส่มันเอาไว้
ขั้นตอนก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์
ประการที่ 4 อยู่ในข้อที่ 16 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น
ประการที่ 4 คือ ต้องยอมรับการเสริมสร้างชีวิตใหม่
เมื่อเราประหารและปลดเปลื้องสิ่งที่ติดตัวมากับชีวิตเก่าแล้วและเมื่อเราสวม 10 ใจเข้าไปแทนที่ พี่ - น้องต้องยอมที่จะเข้าสู่ขบวนการสร้างชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณโดยพระคำของพระเจ้า ผ่านทางผู้นำหรือพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณคำถามคือว่าเพื่ออะไร ?
พระคำของพระเจ้าใน มธ.28:19 ตรัสดังนี้ว่า จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ซึ่งนั่นหมายความถึง ผู้เชื่อทุกคนมีหน้าที่ในการสอนผู้อื่นด้วย ดังนั้นผู้เชื่อทุกคนจะปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงการสอนผู้อื่นไม่ได้ เพราะนี่เป็นพระดำรัสสั่งขององค์พระเยซูคริสต์ที่ให้เราทั้งหลายจงสอนพระวจนะของพระเจ้า
ในข้อที่ 16 ตอนต้นกล่าวว่า จงให้พระวาทะของพระคริสต์ ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องการที่จะให้พระคำของพระองค์ประกอบเข้าในชีวิตของเราหรือเป็นจริงในชีวิตของเราและหรือสำเร็จในชีวิตของเราทุกคน
ดังนั้นถ้าพี่ - น้องต้องการตอบสนองต่อพระดำรัสสั่งของพระเจ้า โดยการสอนผู้เชื่อคนอื่นก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ พี่ - น้องจะต้องเข้าสู่ขบวนการถูกสร้างก่อน เพื่อคำสอนของท่านจะไม่ขาดน้ำหนัก เพราะเป็นคำสอนที่มันออกมาจากชีวิตของคนๆ หนึ่งและทุกคนก็มองเห็นว่าชีวิตของเขานั้นได้ปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วพี่ - น้องที่รักครับในข้อที่ 16 ตอนปลายกล่าวว่า จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น
คำว่า สั่งสอน มีความหมายจากภาษาเดิมว่า สอนหรือพร่ำสอน
คำว่า เตือนสติ มีความหมายจากภาษาเดิมว่า แนะนำ สั่งสอนหรือเตือน
ซึ่งทั้งสองคำนี้ฟังดูแล้วคล้ายกันๆไม่แตกต่างกันมากนัก จึงเป็นเหมือนการย้ำให้แก่กันและกัน คำว่า ด้วยสติปัญญา หมายถึง สติปัญญาจากกพระเจ้า
การที่เราจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายหรือยากครับพี -น้อง ? มีเรื่องราวมากมายทั้งเรื่องราวตัวของเราเองและทั้งในส่วนของคนอื่นที่อาจทำให้เราสูญเสียความชอบธรรมได้
ถ้าพี่ - น้องอยู่ในสถาบันพระคริสตธรรมหรือในโรงเรียนพระคัมภีร์พี่ - น้องก็จะพบว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ในการสอน ผู้ที่ทำหน้าที่ในการให้สติหรือให้ข้อแนะแนวคิดในการดำเนินชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณคือใครครับ ? รุ่นน้องรับฟังรุ่นพี่ รุ่นพี่รับฟังรุ่นอาวุโส รุ่นอาวุโสรับฟังคณาจารย์ ครูอาจารย์รับฟังใครครับ ? รับฟังพระเจ้า พระวิญญาณประการที่สำคัญ คือ ทุกคนรับฟังซึ่งกันและกัน
ถ้าพี่ - น้องอยู่ในคริสตจักรในฐานะสมาชิกสมบูรณ์ พี่ - น้องก็จะพบว่าผู้ที่จะคอยให้คำแนะนำชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณสมาชิกคือใครครับ ? ศิษยาภิบาล คณะผู้ปกครอง
แล้วศิษยาภิบาล คณะผู้ปกครองฟังใครครับ ? ฟังธรรมกิจ ฟังสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งภาพนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่ในสังคมโดยทั่วไป แต่ขอให้เกิดขึ้นเถิดครับ ? โดยเฉพาะในสังคมของคริสเตียนและหรือโดยเฉพาะสังคมในคริสตจักรของพระเจ้า คำสั่งสอนหรือคำเตือนสติทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วเพื่อประโยชน์ของใครครับ ?
ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ สภษ. 1:23 - 32 คำสั่งสอนหรือคำเตือนสติทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของพี่ - น้องทั้งสิ้น
ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยการเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่งให้พี่ - น้องฟังกล่าวคือ มีคริสตจักรแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร คริสตจักรแห่งนี้มีที่ดินเป็นของตัวเองแต่ขาดงบประมาณในการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า มีคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนมายื่นข้อเสนอให้ว่าจะสร้างตัวอาคารให้เป็นคริสตจักรในชั้นที่ 1 และ 2
ส่วนชั้นที่สูงจากนั้นไป เขาขอใช้เป็นสำนักงานของบริษัทฯ และขอเปิดเป็นสำนักงานให้เช่า สมาชิกและรวมทั้งผู้นำหลายๆคนก็เห็นว่าดี เพราะสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าโดยไม่ต้องเสียสตางค์
อย่างไรก็ตามก็มีพี่ - น้องบางคนได้ให้สติอย่างนี้ว่า แล้วพระที่เขาเอามาวางไว้ในตึกแต่ละชั้นล่ะ พวกเราคิดกันบ้างไหมว่า แล้วพระเจ้าของเราจะคิดอย่างไร ปรากฏว่าข้อเสนอของบริษัทนั้นต้องตกไป
พระคำของพระเจ้าใน ฮบ.3 : 13 ตรัสดังนี้ว่า ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า วันนี้ เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้างไปเพราะเล่ห์กลของบาป ดังนั้นให้เราทั้งหลาย จงเตือนสติกัน และให้เราทั้งหลายฟังซึ่งกันและกันด้วยจนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมา
สรุป พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ในก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์
ประการที่ 1 คือ ต้องยอมสลายตัวเก่า
ประการที่ 2 คือ ต้องยอมปลดเปลื้อง
ประการที่ 3 คือ ต้องสวมวิสัยมนุษย์ใหม่หรือสวมชีวิตใหม่
ประการที่ 4 คือ ต้องยอมรับการเสริมสร้างชีวิตใหม่