หายเหนื่อยและเป็นสุข

คำเทศนาเรื่อง หายเหนื่อยและเป็นสุข

    

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจาก พระธรรม มธ. 11 : 28 - 30 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่และ มธ.11 : 28 - 30 เมื่อพบแล้วเราจะให้เกียรติกับพระของพระเจ้าด้วยการยืนขึ้นและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับและผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า หายเหนื่อยและเป็นสุข ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ โดยส่วนตัวผมมีความว่าพี่ - น้องที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนต่างทราบกันเป็นอย่างดี ถึงสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ระดับโลกหรือสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา และในฐานะคนของพระเจ้า ผมจึงอยากจะเรียนกับพี่ - น้องด้วยใจที่สัตย์ซื่อว่า สถานการณ์ทุกสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องว่าจากนี้โลกนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วยเช่นกัน

สถานการณ์ในระดับโลก

อยากจะเรียนกับพี่ - น้องอย่างนี้ครับว่า ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน มีการกล่าวกันว่าอีก 30 ปีข้างหน้าหมู่เกาะเล็กๆ เป็นจำนวนมากจะถูกจมลงในทะเลและในที่สุดหมู่เกาะเล็กๆ เหล่านั้น ก็จะหายไปจากแผนที่โลก สาเหตุเพราะน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือได้ทะลายลง ทำให้ปริมาณน้ำในโลกจะเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนพื้นดินจะเล็กลง ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมได้พูดถึงเมื่อสักครู่นี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายๆ ประเทศทั่วโลกพี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?

สถานการณ์ในระดับประเทศ

ผมอยากจะเรียนกับพี่ - น้องอย่างนี้ครับว่า เวลานี้ประเทศไทยของเรากำลังเผชิญกับปัญหาในลักษณะเชิงวิกฤติมากขึ้น เช่น ปัญหาวิกฤตของความแตกแยกซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เช่น ปัญหาวิกฤตการณ์น้ำท่วมใหญ่ในรอบ 50 ปี เช่น วิกฤตการณ์ของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก็ไม่เคยมีการลัก ฆ่าหรือทำลายกันอย่างยาวนานอย่างนี้มาก่อน โดยส่วนตัวผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าคนไทยเราจะต้องเจอปัญหาในลักษณะเชิงวิกฤตนี้อีกมากหลาย ซึ่งพอพี่ - น้องอ่านข่าว / ดูทีวีแล้วรู้สึกเหนื่อยใจมั้ยครับ ?

ครั้นเมื่อกลับมามองดูสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา ในครอบครัวของเราก็พบว่า ภายหลังน้ำลดแล้วบ้านก็จะต้องมีการซ่อมแซม ภายหลังน้ำลดแล้วค่าเทอมลูกก็ยังจ่อยู่ข้างหน้าอีกไม่กี่วัน เงินให้ลูกไปโรงเรียนแต่ละวัน ก็มีบ้าง ไม่มีบ้าง หนี้สินที่เราสร้างเองมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งคนอื่นช่วยสร้างทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า พี่ - น้องคิดแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างครับ ?

เหนื่อยไหมครับ ? เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ

เครียดไหมครับ ? ไม่ต้องถามมันสุดจะเครียดเลยอาจารย์

ข่าวดีในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า มีท่านผู้หนึ่งที่รู้จักเรา ท่านเข้าใจเรา ท่านเคยได้รับสภาพแห่งการถูกกดดันเช่นเราและยิ่งกว่าเรา และท่านผู้นี้ปรารถนาที่จะช่วยเราและทรงนำเราทั้งหลาย ให้หายเหนื่อยและเป็นสุข

ประการที่สำคัญก็คือว่า ในเช้าวันนี้ท่านผู้นี้ก็ได้ทรงประทับนั่งอยู่กับพวกเราทุกๆคนใน ณ.ที่นี่แห่งด้วย ท่านผู้นี้คือผู้ใดครับพี่ - น้อง ? คือ พระเจ้า พระเยซูคริสต์นั่นเอง ให้เราปรบต้อนรับพระองค์ด้วยกัน

พี่ - น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 27 ตรัสว่า พระบิดาของเรา ได้ทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงได้รับทุกสิ่งและทุกอย่างจากพระบิดา

ดังนั้นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงมีสิทธิอำนาจ 1) ในของทุกๆสิ่ง 2) ในทุกๆอย่าง   3) ในสิ่งที่พระองค์ได้รับนั้น และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะให้กับใครหรือผู้ใดก็ได้

ดังนั้นถ้าเราต้องการ

1) สันติสุข พระองค์มีสิทธิอำนาจที่จะให้สันติสุขนั้นแก่เรา

2) สติปัญญา พระองค์มีสิทธิอำนาจที่จะให้สติปัญญานั้นแก่เรา

3)ถ้าเราต้องการกำลังเรี่ยวแรงใหม่ พระองค์มีสิทธิอำนาจที่จะให้

4)รอดพ้นจากความบาป พระองค์มีสิทธิอำนาจที่จะให้เรารอดพ้นจากความบาป

แต่ทั้งหมดที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงประทานหรือมอบให้กับเราทั้งหลายนั้น ก็จะต้องอยู่บนพื้นฐานของพระองค์ด้วยเช่นกัน ซึ่งพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ได้กล่าวถึงเงื่อนไข 2 ประการ ที่จะทำให้เราทั้งหลายนั้นหายเหนื่อยในฝ่ายร่างกายและเป็นสุขในฝ่ายจิตวิญญาณได้

เงื่อนไขประการที่ 1 คือ ต้องมาหาพระองค์  

ผมขอบคุณพระเจ้าเสมอที่เมื่อยามที่พี่ - น้องมีปัญหาและพี่ - น้องคิดถึงผมคิดถึงผู้นำในคริสตจักร แต่สิ่งที่พวกเราในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าทำได้นั่นก็คือ การหนุนใจและการอธิษฐานเผื่อพี่ - น้องเท่านั้น แต่ถ้าพี่ - น้องต้องการที่จะหายเหนื่อยในฝ่ายร่างกายอย่างแท้จริงๆ พี่ - น้องจะต้องมาหาใครองค์พระเยซูคริสต์

ในข้อที่ 28พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า บรรดา ซึ่งแปลว่า ทุกคน

ดังนั้นทุกคนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนปากกัดตีนถีบ

ดังนั้นทุกคนที่หมดกำลังเรี่ยวแรงในฝ่ายร่างกาย

ดังนั้นทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยทำงานหนักในฝ่ายร่างกาย

ดังนั้นทุกคนที่ทำงานมากแต่ได้ผลน้อยในฝ่ายร่างกาย

พี่ - น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงประกาศ ทรงเชิญชวน และทรงท้าทายไม่ใช่เพียงพี่ - น้องกับผมเท่านั้นแต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้ทรงประกาศ ทรงเชิญชวนและทรงท้าทายให้คนทั้งโลกนั้นมาหาพระองค์ เพื่อผู้ที่มาหาพระองค์ทุกๆคนนั้นจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข คำถามคือว่า เพราะอะไร ?

คำตอบก็คือ ผู้ที่มาหาพระองค์และมาถึงพระองค์อย่างแท้จริง ฝ่ายร่างกายของเขาจะหายเหนื่อยอย่างแน่นอน

คำตอบก็คือ ปัญหาต่างๆในฝ่ายร่างกายที่หนักอยู่นั้นมันจะค่อยๆหลุดออกไป และมันจะหลุดออกไปทั้งหมดในที่สุด

คำตอบก็คือ เพราะเมื่อการนมัสการพระเจ้าได้เริ่มต้นขึ้นภาระต่างๆในฝ่ายร่างกายที่หนักอยู่นั้นจะค่อยๆ ได้รับการปลดปล่อยออกไป

แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่เหน็ดเหนื่อยในฝ่ายร่างกายได้มาหาองค์พระเยซูไหมครับพี่ - น้อง

มีผู้คนมากมายในโลกใบนี้ที่เหน็ดเหนื่อยฝ่ายร่างกายและเขาพากันไปหาหมู่ชั่วๆ และไอ้หมู่ชั่วๆพวกนี้ก็พากันไปทำบาป ทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งเที่ยวทั้งเต้น ทั้งเล่นทั้งสารพัดอย่าง ทั้งๆที่ก็เหนื่อยกายอยู่แล้ว พอกลับมาถึงบ้านเป็นอย่างไรครับพี่ - น้อง ? กับต้องเหนื่อยกายมากขึ้นไปอีก ลำบากคนที่บ้านอีกต่างหาก

ทำให้ผมคิดถึง ชนชาติอิสราเอลในสมัยของโมเสส ซึ่งจะต้องเดินตามอะไรครับพี่ - น้องถึงจะเข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าได้ ? ชนชาติอิสราเอลในสมัยของโมเสส จะต้องเดินตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น เขาถึงจะเข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าได้

พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า มีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นจริงๆที่ไปถึงมาตรฐานของพระเจ้านั่นคือโยชูวากับคาเลบ ที่เขาสามารถเข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าได้ นอกนั้นตายหมดเพราะเขาไม่สามารถที่จะทำตามมาตราฐานของพระเจ้าได้ นี่เป็นภาระหนักฝ่ายวิญญาณ

ชาวยิวในสมัยของพระเยซูคริสต์ก็เช่นกัน ชาวยิวในสมัยของพระเยซูคริสต์ก็จะต้องเดินตามธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับโมเสส บวกกับข้อจุกจิก หยุมหยิมหรือกฏเกณฑ์ต่างๆที่พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ ได้เขียนเพิ่มเติมเข้าไปในศาสนายูดาห์ของพวกเขาอีกหลายข้อด้วยกัน

พี่ - น้องที่รักครับ ธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้าที่พระเจ้าให้ผ่านทางโมเสสมนุษย์ยังทำกันไม่ได้เลย และพี่ - น้องคิดว่ากฏเกณฑ์ต่างๆที่พวกฟาริสี ธรรมจารย์ ได้เขียนเพิ่มเติมกันขึ้นมาอีกตั้งหลายข้อ พี่ - น้องคิดว่ามันจะช่วยให้เขาแบกแอกที่เบาลงหรือใส่แอกให้เขาแบกแอกที่หนักขึ้นครับ ?

รม.7:10 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า พระบัญญัตินั้นซึ่งมีขึ้นเพื่อการดำรงชีวิตก็ปรากฏแล้วว่าเป็นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่มีใครไปถึงมาตรฐานของของพระเจ้าได้ นี่เป็นภาระหนักฝ่ายวิญญาณ

เช่นเดียวกับในปัจจุบันนี้ พี่ - น้องที่รัก ที่ศาสนาบางศาสนามีข้อปฏิบัติต่างๆให้ยึดถือกันไม่รู้กี่ข้อต่อกี่ข้อ เพียงไม่กี่ข้อยังปฏิบัติกันไม่ได้เลย และนับประสาอะไรที่จะไปถือกันตั้งมากมายหลายข้อ

หลายคนบอกกับผมว่าก็มันมีหลายข้อไงครับอาจารย์ผมเลยไม่รู้จะถือเอาข้อไหน เลยไม่เอามันสักข้อ นี่เป็นภาระหนักในฝ่ายวิญญาณของผู้คนมากมายในสังคม ที่อยู่ในศาสนาและไม่รู้ว่าตนเองตายแล้วจะไปไหน

องค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา จึงได้ทรงประกาศ เชิญชวน และท้าทายไม่ใช่แค่พี่- น้องและผมเท่านั้น แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ประกาศและเชิญชวนให้คนทั้งโลกมาหาพระองค์ เพื่อที่คนตายแล้วไม่รู้จะไปไหนหรือคนที่แบกภาระหนักในฝ่ายวิญญาณ จะได้เป็นสุขในฝ่ายจิตวิญญาณเพราะตายแล้วไปไหนครับ

แต่ในความเป็นจริงผู้ที่แบกภาระหนักในฝ่ายวิญญาณ ได้มาหาพระเยซูไหมครับพี่ - น้อง ? ผมเชื่อว่าภายหลังน้ำลดลงแล้ว จะมีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่าแบกภาระหนักทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่พากันไปหาพระเยซู แต่เขาจะพากันไปหาพระที่เขาว่าขลัง อาจารย์ที่เขาว่าดี พากันไปถึงแล้วก็พากันไปเหยียบกันตาย

พี่ - น้องที่รักครับ ผมไม่เชื่อว่าการพากันไปถึงสถานที่นั้นแล้วๆ เหยียบกันตายอย่างนั้น จะเป็นวิธีที่ทำให้มนุษย์เราหายเหนื่อยและเป็นสุขได้ ผมไม่เชื่ออย่างนั้นแต่ผมเชื่ออย่างนี้ครับว่า การที่เราพากันไปหาพระที่เขาว่าขลัง อาจารย์ที่เขาว่าเยี่ยมนั้น เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ต้องการสร้างรายได้จากปัญหาของมนุษย์ ได้เข้ามาตักตวงหาผลประโยชน์จากมนุษย์ด้วยกัน

ซึ่งเป็นรายได้จำนวนมหาศาลปีหนึ่งไม่ต้องมากประมาณ 0.01 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณแผ่นดินหรือประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท ซึ่งพระที่เขาว่าดี อาจารย์ที่เขาว่าเยี่ยมนั้น ซึ่งผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าโดยแท้จริงแล้วเขาไม่สามารถที่จะช่วยปลดเปลื้องภาระปัญหาทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง แต่เขาเป็นผู้ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินจำนวนนี้

พระคำของพระเจ้าใน มธ. 12:33 ตรัสว่าเรารู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน เมื่อไม่ใช่ของจริงและไม่ใช่ของแท้ เราก็จะเห็นได้ว่าเมื่อคนที่มีปัญหาในชีวิตเขาผิดหวัง เขาก็จะเริ่มแสวงหาพระใหม่ๆ อาจารย์ใหม่ๆและก็จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไปเพราะทั้งพระทั้งอาจารย์เหล่านั้นไม่ใช่ทั้งพระ ทั้งอาจารย์ ที่แท้จริง

พี่ - น้องทีรักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงประกาศ เชิญชวนและท้าทาย ให้คนทั้งโลกนั้นให้มาหาพระองค์ และคนที่มาหาและได้มาถึงพระองค์อย่างแท้จริง

ก็จะพบว่า พระองค์ไม่เคยทำให้คนที่มาหาพระองค์อย่างแท้จริงนั้นจะต้องพบกับความเหน็ดเหนื่อยในฝ่ายร่างกาย และแบกภาระหนักในฝ่ายวิญญาณอีกต่อไป

และผลของมันก็พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน เพราะมีประชากรในโลกใบนี้มากกว่า 3,000 กว่าล้านคนหรือเกินครึ่งโลกที่ได้มาหาพระองค์ สิ่งนี้น่าจะเป็นคำตอบ และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ รวมทั้งเป็นสิ่งที่บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนเหล่านั้นไม่ผิดหวังในการมาหาพระองค์เลย

                                                เงื่อนไขที่จะทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุขได้

ประการที่ 2 คือ เรียนรู้จากพระองค์ทั้งในด้านฝ่ายร่างกายหรือชีวิตส่วนตัวและในด้านฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตในการรับใช้

2.1 เรียนรู้จากพระองค์ในด้านฝ่ายร่างกายหรือชีวิตส่วนตัว

พี่ - น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงมีชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือชีวิตส่วนตัวที่ แข็งนอก อ่อนในเหมือนกับทุเรียนที่กำลังออกผลมากในฤดูกาลนี้แต่ก็ไปกับน้ำเรียบร้อยแล้ว

พี่ - น้องรู้จักทุเรียนนะครับ ? เปลือกข้างนอกมันเป็นอย่างไรครับ ? แข็งและมีหนาม

ข้างในมันเป็นอย่างไรครับพี่ - น้อง ? เนื้อมันนุ่ม สีของทุเรียน มันเหลืองอร่ามดูน่ากินน่ารับประทาน

องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงแข็งนอก หมายความว่าอะไร ?

หมายความว่า พระองค์ทรงมีจุดยืนที่ชัดเจน จุดยืนที่ชัดเจนของพระองค์ คือ การไม่ประนีประนอมกับความบาป และพระองค์ทรงแข็งกร้าวต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

เหตุการณ์ในหนังสือ มธ.21:12 ทำให้เรารู้ว่า จุดยืนของพระองค์เป็นเช่นนั้นจริงๆ

องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงอ่อนใน หมายความว่าอะไร ?

หมายความว่า พระองค์ทรงถ่อมพระทัยและอ่อนสุภาพโดยเฉพาะในเรื่องของการทำความดี คำถามคือว่า เพื่ออะไร ?

พระคำของพระเจ้าในยน12:28 ตรัสว่า ข้าแต่พระบิดาขอให้พระนามของพระองค์จงได้รับเกียรติแล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า เราได้ให้รับเกียรติแล้วและเราจะได้รับเกียรติอีก

พี่ - น้องที่รัก องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงถ่อมพระทัยลงและพระองค์ทรงอ่อนสุภาพ โดยเฉพาะในการทำความดีเพื่อที่พระบิดาจะทรงได้รับเกียรตินั้น พระองค์ทรงถ่อมขนาดไหน ?

พระองค์ทรงถ่อมพระทัยของพระลง ขนาดที่พระองค์ยอมเป็นทาสระดับสุดท้าย

พี่ - น้องที่รักครับ ทาสในสมัยก่อนมี 4 ระดับด้วยกัน

ทาสระดับที่ 1. คือ ทาสที่มีอายุ 18 - 25 ปี

ทาสระดับที่ 2. คือ ทาสที่มีอายุ 25 - 40 ปี ทาสระดับที่ 1 และ2 นี้เป็นที่ต้องการของนายทาสเป็นอย่างมากเพราะอยู่ในวัยที่นายทาสใช้แรงงานได้อย่างเต็มที่

ทาสระดับที่ 3 คือ ทาสที่มีอายุ 40 - 60 ปี ทาสระดับที่ 3 นี้ เป็นทาสที่นายทาสเริ่มที่จะทะยอยขายออกไป เพราะอยู่ก็เปลืองข้าว แรงงานก็เริ่มที่จะใช้ได้น้อย

ทาสระดับที่ 4 คือ ทาสระดับดูลอส เป็นทาสที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ทาสชนิดนี้เป็นทาสที่นายทาสถือว่าไม่มีคุณค่า เพราะแก่และทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากนั่งเฉยๆและคอยล้างเท้าให้กับนายทาสเท่านั้น

พี่ - น้องที่รัก องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงถ่อมพระทัยลงมาเพื่อที่จะเป็นทาสชนิดนี้ เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ถึงยอมที่จะล้างเท้าให้กับสาวกของพระองค์ทุกคนด้วยความยินดีและเต็มใจ เพราะพระองค์ทรงถ่อมพระทัยลงเพื่อที่จะมาเป็นทาสชนิดนี้

ดังนั้นชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายเนื้อหนัง และหรือชีวิตส่วนตัวของเราให้เราเรียนจากพระองค์

คือ มีจุดยืนที่ชัดเจน โดยการไม่ประนีประนอม ต่อความบาปทุกชนิด ใครจะชวนไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ให้เรายืนยันอย่างแข็งขันว่าเราไม่ไป

คือ มีความถ่อมใจและอ่อนสุภาพ โดยเฉพาะการที่เราถ่อมใจของเราลงในการทำความดีเพื่อที่จะยกให้พระเจ้านั้นสูงขึ้น

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า ? คนที่ถ่อมใจ คนที่อ่อนสุภาพ พระเจ้าจะทรงปั้นแต่งชีวิตของเขานั้นให้สวยงามมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นถ้าพี่ - น้อง อยากจะเป็นภาชนะที่สวยงามในสายพระเนตรของพระเจ้านั่นก็คือให้พี่ - น้องถ่อมใจ และอ่อนสุภาพ

2.2 เรียนรู้จากพระองค์ในด้านชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตในด้านการรับใช้

พี่ - น้องที่รักครับ ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตในด้านการรับใช้ของพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ทรงมีชีวิตที่พึ่งพาพระเจ้า พระบิดาเสมอ

ในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม คือ มัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์น ได้มีการบันทึกคำว่า อธิษฐาน ไว้ทั้งสิ้น 304 แห่งด้วยกัน ซึ่งทำให้เรารู้ว่าชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตในด้านการรับใช้ของพระองค์นั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่ได้พึ่งพาตนเองเลย แต่พระองค์ทรงพึ่งพาพระเจ้า พระบิดา

,

เมื่อพระองค์ทรงพึ่งพาพระเจ้า ต่อหน้าของศัตรูพระองค์ทรงตรัสว่า เราคือผู้นั้นแหละ ยน.18:4-5

เมื่อพระองค์ทรงพึ่งพาพระเจ้า ต่อหน้าของผู้มีอำนาจพระองค์ทรงตรัสว่า ตบเราทำไม ยน.18:19-23

เมื่อพระองค์ทรงพึ่งพาพระเจ้า ต่อหน้าเจ้าเมืองพระองค์ทรงตรัส อย่างไม่กลัวเกรง ยน. 18:33-37

ดังนั้นชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตในด้านการรับใช้ของเรา เราจะต้องเรียนรู้จากพระองค์ นั่นก็คือ พึ่งพาพระเจ้า พระบิดาเสมอ

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ สภษ. 3:5 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า คนที่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเองคือคนอะไร

คือ คนหยิ่งมักจะพึ่งพาตัวเอง

ส่วนคนที่พึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอๆคือคนอะไร

คือ คนที่อ่อนแอ

เมื่อเราพึ่งพาพระองค์โดยการอธิษฐานร้องทูลต่อพระเจ้า พี่ - น้องทราบไหมครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น

สิ่งที่หนักก็จะเบา ( หญิงโลหิตตก )

เรื่องใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเล็ก ( ลาซารัสฟื้นจากความตาย )

เรื่องร้ายก็จะกลายเป็นเรื่องดี ( โยเซฟในแผ่นดินอียิปต์ )

เรื่องที่ยากจะกลายเป็นเรื่องที่ง่าย ( เปโตรเดินบนน้ำ )

เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็จะเป็นไปได้ ( ข้ามทะเลแดง )

และทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้นได้เกิดขึ้นแล้วและพระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน และอีกมากมาย

สรุป พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ใน มธ.11:28 - 30 คือ

1. จงเข้ามาหาพระเยซูคริสต์

2. เรียนรู้จากพระองค์

2.1 ทั้งชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตในฝ่ายร่างกาย และ

2.2 ทั้งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณหรือการรับใช้

แล้วพี่ - น้องจะได้รับพระพรนั่น คือ การหายเหนื่อยและเป็นสุขและจิตใจของท่านทั้งหลายจะได้พักสงบ แม้ว่าพี่ - น้องบางคนอาจจะยังต้องรับภาระหนักหรือบางคนอาจจะต้องเหนื่อยอยู่แต่ท่านก็สามารถที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้

และในเช้าวันนี้ ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ให้พี่ - น้องได้ใช้เวลาอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวสักครู่หนึ่ง และเชิญพระเยซูคริสต์ที่จะเข้ามาในชีวิตของท่านอีกทั้งทูลขอต่อพระองค์ที่จะทรงปลดแอกให้กับพี่ - น้องในเช้าวันนี้

Green City