ดาวจรัสแสงของพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง ดาวจรัสแสงของพระเจ้า

          ฟป.2:12-15 เหตุฉะนี้พวกที่รักของข้าพเจ้า เมื่อท่านเชื่อฟังทุกเวลาฉันใด ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ เพื่อให้ได้ความรอดด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้นในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย 13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์ 14 จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน 15 เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็น บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลาง พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก

          ผู้ที่เขียนพระธรรมเล่มนี้หรือผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้นั้น คือท่าน อ.เปาโล ท่าน อ.เปาโล ได้เปรียบเทียบชีวิตของผู้เชื่อในคริสตจักรเมืองฟิลิปปี นี้ว่าเป็นเหมือนกับ “ดวงสว่างของโลก”

          พี่น้องต่างทราบกันเป็นอย่างดีแล้วนะครับว่า ภายหลังจากที่อาดำ-เอวา ไปเชื่อฟังมาร ซาตาน มนุษย์เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป แต่ผู้เชื่อในคริสตจักรเมืองฟิลิปปีกับดำเนินชีวิต “ดุจดวงสว่างของโลก” หรือกับดำเนินชีวิต “ดุจดาวจรัสแสง” ของพระเจ้า

          ซึ่งการที่ผู้เชื่อจะดำเนินชีวิต “ดุจดวงสว่างของโลก” หรือ ดุจดาวจรัสแสง ของพระเจ้าท่ามกลางโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยความบาปนั้นไม่ง่าย

            แต่การที่ผู้เชื่อในคริสตจักรเมืองฟิลิปปี สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้นั่นหมายความว่า ผู้เชื่อในคริสตจักรแห่งนี้นั้นมีพื้นฐานความเชื่อในทางของพระเจ้าที่ถูกต้องและกระทำตามความเชื่อนั้นด้วยความเข้าใจ ผู้เชื่อในคริสตจักรแห่งนี้จึงสามารถเป็น “ดุจดวงสว่างของโลก” หรือเป็น “ดาวจรัสแสง” ของพระเจ้าได้

            สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า ผู้เชื่อในคริสตจักรแห่งนี้สามารถที่จะเป็น ดุจดวงสว่างของโลก หรือเป็น ดุจดาวจรัสแสง ของพระเจ้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน

            เราจะเป็น ดุจดวงสว่างของโลก หรือเป็น ดุจดาวจรัสแสง ได้ประการที่ 1 อยู่ในข้อที่ 12 คือ ต้องเป็นผู้ที่เชื่อฟังทุกเวลา

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้สรุปได้เป็นอย่างดีว่า คนที่จะเป็นดาวจรัสแสงของพระเจ้าได้ต้องเชื่อฟังพระเจ้าทุกเวลา ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย เพราะคนไทยเราถูกปลูกฝังมาให้มีทัศนคติที่ว่า “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้”

คำถามก็คือว่า พอเราตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้า วิญญาณในการที่เราจะทำอะไรตามใจตัวเองมันยังอยู่ในชีวิตของเราไหมครับพี่น้อง ? ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย

            พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 13 บอกกับเราว่าคนที่จะเป็นดาวจรัสแสงของพระเจ้าได้ไม่เพียงแต่เชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้นแต่เขาจะต้องมีใจปรารถนาที่อยากปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้าด้วย

          13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์

            ซึ่งนั่นหมายความว่า เชื่อฟังพระเจ้าไม่พอต้องมีการประพฤติด้วย อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระเจ้าพิสูจน์การเชื่อฟังของมนุษย์ด้วยการดูการกระทำของเรา

            ซึ่งผมได้บอกไปแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ท่านต้องมีใจปรารถนา” โดยในฝ่ายวิญญาณนั้นเราต้องพึ่งพาพระเจ้า ในฝ่ายกายภาพ เราต้องฝึกที่จะหักห้ามใจหรือฝืนใจในการที่เรานั้นจะไม่ทำอะไรตามใจตัวเอง เราต้องจัดการตัวเอง เราต้องบริหารตัวเอง

            และเมื่อเราทำทั้งในฝ่ายกายภาพและในฝ่ายจิตวิญญาณ ตามที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่นี้ พระเจ้าจะทรงโปรดช่วยเราในการที่เรานั้นจะสามารถเชื่อฟังพระเจ้าและปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้าได้ทุกเวลา

          15 เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็น บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลาง พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก

            พระคำของเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่อเราทำในข้อที่ 12-13 ได้ มันจะส่งผลให้เราทำในข้อที่ 15 ได้อย่างอัตโนมัติ นั่นก็คือ เราจะเป็นบุตรของพระเจ้าที่ปราศจากการตำหนิ

            พี่น้องที่รักครับ ยุคนี้ พ.ศ.นี้ เวลานี้ เป็นอย่างไรครับ ? เต็มไปด้วยวิกฤติมากมายหลายอย่างหรือนานาประการ วิธีที่ผู้เชื่อจะผ่านท่ามกลางวิกฤตนานาประการนี้ไปได้คือ ให้เราเป็นบุตรที่เชื่อฟังพระเจ้าและประพฤติตามพระคำของพระเจ้า

            ผู้เชื่อที่เป็นบุตรที่ปราศจากตำหนิหรือไร้ตำหนิจากพระเจ้า

                        1) ชีวิตมีแต่เจริญขึ้น

                        2) ไม่มีใครล้มชีวิตของเราลงได้

                        3) สถานการณ์ทำอะไรเราไม่ได้

            ดังนั้นเราต้องใช้สถานการณ์ที่วิกฤติอยู่ในขณะนี้สร้างตัวของเราให้เป็นดาวจรัสแสงหรือเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างให้กับคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าได้ประจักษ์และแลเห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตของเรา

            เราจะเป็น ดุจดวงสว่างของโลก หรือเป็น ดุจดาวจรัสแสง

          ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 14-15 คือ เราต้องเป็นผู้ที่ทำสิ่งสารพัดโดยไม่บ่น

สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า วาจาของเรานั้น “นำมาซึ่งทั้งพรและภัยมาสู่ตัวเราเอง” ยกตัวอย่างเช่น

          กดว.16:41 พอรุ่งขึ้นชุมนุมชนอิสราเอลก็บ่นว่าโมเสสและอาโรนว่า "ท่านได้ประหารชีวิตคนของพระเจ้าเสีย"

ถ้าพี่น้องได้อ่านในหนังสือ กดว. ในบทที่ 16 นี้ทั้งบทและอ่านอย่างโดยละเอียด พี่น้องก็จะพบว่า โมเสสกับอาโรน นั้นไม่ได้เป็นคนฆ่าชนชาติอิสราเอล แต่เขาทั้ง 3 คนเป็นคนฆ่าตัวเองต่างหาก

            การที่ โคราห์ ดาธานและอาบีรัม ไม่ได้อยู่ในฐานะปุโรหิตย์ของพระเจ้าเหมือนกับโมเสสกับอาโรน จึงเป็นเหตุทำให้ทั้ง 3 คนก่อการต่อต้านหรือก่อการกบฏ อีกทั้งรวมสมัครพรรคพวกซึ่งเป็นผู้ชายอีกจำนวน 250 คน ซึ่งเป็นผู้นำของชุมชนที่ได้เลือกมาจากที่ประชุม

            การต่อว่าคนที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้ จึงมิได้เป็นการบ่นหรือต่อว่าโมเสสหรืออาโรน แต่เป็นการบ่นหรือต่อต้านพระเจ้าเพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงลงโทษพวกเขาทั้งหมดถึงกับชีวิต

            จำไว้ว่า “พันธสัญญาเดิม” เป็นเงาสะท้อนถึง “พันธสัญญาใหม่” “พันธสัญญาใหม่” เป็นเงาสะท้อนถึง “พันธสัญญาเดิม”

            ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของพระคุณ เมื่อเราบ่น พระเจ้าไม่ได้ลงโทษเราถึงแก่ความตายหรือลงโทษเราถึงแก่ชีวิต แต่พระเจ้าลงโทษเราด้วย งดการอวยพร งดความเจริญ ไม่ตอบคำอธิษฐาน ไม่เกิดดอกออกผล โรคที่เคยเป็นแล้วหายกลับคืนมา ชีวิตแบบนี้เป็นดาวจรัสแสงของพระเจ้าได้ไหมครับ ? เป็นดุจแสงสว่างของโลกได้ไหมครับ ?

            คนที่จะเป็นดาวจรัสแสงของพระเจ้าหรือคนที่เป็นดุจดวงสว่างของโลกเขาจะทำสิ่งสารพัดโดยไม่บ่น

            ทำไปบ่นไป ทำไปทวงบุญคุณไป...บุญคุณนั้นหมดทันที

            จำไว้ว่า “บุญคุณจะไม่มีวันหมด ถ้าเราไม่อ้างถึงมัน”

            การที่เราทำสิ่งสารพัดโดยไม่บ่นนั้นจะนำเราไปสู่บันไดแห่งพระพรหรือจะนำเราไปสู่ความสำเร็จ เหมือนดั่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระองค์ทรงรับใช้พระบิดาบนสวรรค์ของพระองค์อย่างเหน็ดเหนื่อย ส่งผลให้เกิดความท้อแท้ แต่ไม่บ่น

            คำถามคือ เรารู้ได้อย่างไร ? มธ.26:37-38 “พระองค์ก็พาเปโตรกับบุตรทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก 38 จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด"        พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ส่งผลให้พระองค์รู้สึกท้อแท้ แต่ไม่ว่าพระองค์จะเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้มากแค่ไหน

            พระองค์ก็ทรงไม่บ่น พระองค์ทรงไม่ทวงบุญคุณ ด้วยเหตุนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงเป็น ดาวจรัสแสง หรือเป็น ดุจดวงสว่างของโลก นี้มานานถึง 2022 ปี

            พี่น้องคิดว่าผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่อย่าง อ.เปาโล เหน็ดเหนื่อยไหมรู้สึกท้อแท้ไหม

          กลท.4:19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า กว่าที่ท่าน อ.เปาโล จะหนุนใจให้ใครทำอะไรได้นั้น ท่านรู้สึกเจ็บปวดที่กว่าแต่ละชีวิตนั้นจะเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า

            พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีก ทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เจ็บปวดเพราะเรื่องคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง อีกทั้งบ่นก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายไหมครับพี่น้อง ?

            แต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้ โดยการอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า หรือ ขอกำลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เราถึงจะเป็น ”ดาวจรัสแสง” ของพระเจ้าได้

            สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า การบ่น กับ การเตือน ไม่เหมือนกัน

          การบ่น เป็นอาการของเด็ก ใครบ่นเรื่องใดก็เป็นเด็กเรื่องนั้น แต่การ เตือนสติ และ การยอมรับการตักเตือน เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ส่วนคนที่ไม่ยอมรับการตักเตือนนั่นก็แสดงว่าเค้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ เหมือนดั่งน้ำ

          “น้ำนิ่ง ไหลลึก เสียงไม่ดัง” แต่ “น้ำตื้น ไหลเสียงดัง” อาการของน้ำไม่ต่างจาก “อาการของคน” อยากรู้ว่าคนไหนตื้นคนไหนลึก ให้ฟังในสิ่งที่เขาพูด พูดมาก บ่นมาก อวดมากแสดงว่ามีไม่มาก

ปี๊บที่มีน้ำเต็ม หล่นลงมาเสียงจะไม่ดัง แต่ปี๊บที่ไม่มีน้ำ หล่นลงมาเสียงดังกังวาน

            คนที่รู้มาก ไม่เรื่องมาก ไม่บ่นมาก ไม่คุยมาก ไม่อวดมาก และพระเจ้าทรงเป็นตัวอย่างนี้

          สดด.19:1-4 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ 2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน 3 วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า 4 ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ. ที่นั้น

            พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นผู้ที่สิ่งสารพัด แต่พระองค์ไม่โอ้อวด แต่พระองค์ให้สิ่งที่พระองค์สร้างนั้น อวดพระผู้สร้างด้วยตัวของมันเอง

            ดังนั้นเราไม่ควรที่จะบ่น แทนที่เราจะบ่น ให้เราลงมือทำ แทนที่จะบ่นให้เราเป็นคนสร้างวินัยตัวเองขึ้นมาโดยการที่จะไม่บ่น และนั่นจะเป็นสิ่งทำให้เราเป็นดาวจรัสแสงของพระเจ้า

            สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้จาก ฟป.2:12-15  คือ การที่เราจะเป็นดาวจรัสแสงของพระเจ้าได้

                        ประการที่ 1 คือ เราต้องเป็นผู้ที่เชื่อฟังทุกเวลา

                        ประการที่ 2 คือ เราเราต้องเป็นผู้ที่ทำสิ่งสารพัดโดยไม่บ่น

Green City