บทความ
การสำเร็จความใคร่กับชีวิตคริสเตียน
คำนำ
เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้เกิดขึ้นราว 1 ปีมาแล้ว เมื่อผมได้รับเชิญให้ไปเทศนาที่คริสตจักรหนึ่ง คงเป็นประเพณีอันดีของคริสตจักรที่เมื่อเสร็จการนมัสการแล้วก็ต้องเชิญนักเทศน์ไปรับประทานอาหารร่วมกับสมาชิก
วันนั้นคณะมัคคนายกได้จัดที่รับประทานอาหารไว้ เพื่อให้นักเทศน์พูดคุยกับผู้นำเป็นการส่วนตัว ขณะที่รับประทานอาหารนั้นเอง ผู้นำของคริสตจักรคนหนึ่งได้ถามคำถามหนึ่งที่ผมเองไม่คาดคิดว่าจะถูกถามในขณะที่รับประทานอาหารนั้น
คำถามนั้นคือว่า อาจารย์ครับ อาจารย์คิดว่าการสำเร็จความใคร่เป็นบาปหรือไม่ครับ หลังจากที่กลืนอาหารคำนั้นลงไปแล้ว ผมก็คิดใคร่ครวญคำตอบที่เหมาะสม แต่ก่อนที่ผมจะตอบ ผมถามกลับไปว่า ที่คริสตจักรของคุณมีปัญหานี้หรือครับ หลังจากนั้นก็ได้สนทนากันคร่าวๆอีกราว 30 นาที ผมจึงลากลับโบสถ์
เมื่อผมนั่งรถกลับบ้าน ผมได้ใคร่ครวญมาตลอดทางว่า คำถามนี้น้อยคนนักที่จะถาม และเป็นคำถามที่สำคัญ เพราะคงจะเกี่ยวข้องกับชีวิตคริสเตียนของวัยรุ่นและวัยไม่รุ่นจำนวนไม่น้อย
ในขณะเดีนวกันสังคมไทยเรามักจะไม่นำเรื่องนี้มาพูด มาอภิปราย หรือมาถามกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหา ผมเองก็อดที่จะขอบคุณคำถามของผู้นำคนนั้นไม่ได้ที่กล้าถาม เพราะเขาอาจเป็นตัวแทนผู้นำของอนุชนคริสเตียนจำนวนมากที่อาจจะมีปัญหานี้ ซึ่งเป็นปัญหาของคริสตชนจำนวนมาก และศิษยาภิบาลจำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ให้ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ได้อย่างไร ผมเองก็คิดว่าอาจมีอนุชนจำนวนไม่น้อยคงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามชนิดนี้อย่างเหมาะสมตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์อย่างไรเช่นกัน
วัยรุ่นจำนวนมากมักไม่ค่อยได้ยินศิษยาภิบาลเทศนาและสอนในเรื่องที่เขาประสบอยู่นี้ที่ธรรมาศน์หรือในชั้นรวีใดๆ บิดามารดาที่เป็นคริสตชนก็คงไม่ค่อยนำเรื่องเช่นนี้มาสอนลูกชายและลูกสาวของตน ทำให้วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยได้ยินได้ฟังคำตอบของเรื่องนี้จากเพื่อน, สื่อหรือแหล่งต่าง ๆ ซึ่งอาจไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้องตามหลังของพระคัมภีร์
ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น คริสตชนทั้งวัยรุ่นและวัยไม่รุ่นจำนวนไม่น้อย บ้างก็มีความรู้สึกกดดันทางเพศอย่างมาก บางคนที่สำเร็จความใคร่ก็ไม่รู้สึกผิดในใจ แต่บางคนก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรง บางคนก็คิดว่าน่าจะทำได้ แต่บางคนคิดว่าเป็นคริสเตียนแล้วทำไม่ได้ แล้วในความจริงตามหลักพระคัมภีร์หล่ะเป็นอย่างไรกันแน่ ฤาว่าเราควรจะปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือต่อไป และหรือว่าเราควรจะนำเรื่องนี้มาอภิปรายและเปิดดูคำตอบในพระคัมภีร์ คำตอบอันเกิดจากแนวความคิดที่ตกขอบของคริสตจักรต่างๆ คริสตจักรจำนวนไม่น้อยที่มีความคิดในเรื่องนี้แบบตกขอบหรือสุดโต่ง ความคิดสุโต่งอันแรกก็คือ แนวคิดที่ว่าการสำเร็จความใคร่ถือว่าเป็นบาปเสมอไปทุกกรณี ส่วนแนวคิดสุดโต่งอีกประการหนึ่ง คือ แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับแนวคิดอันแรก กล่าวคือ ค่ายนี้คิดว่าการสำเร็จความใคร่เป็นของประทานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์เพื่อใช้เป็นทางออกในการแก้ปัญหาความกดดันทางเพศของมนุษย์
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความคิดทั้งสองห่างกันเป็นคนละขั้ว แยกกันความคิดราวฟ้าห่างจากดินเช่นนี้ ก็อาจเป็นเพราะนักศาสนาศาสตร์บางคนกล่าวว่า ไม่มีคำพูดหรือคำสอนตรงๆจากพระคัมภีร์เรื่อง ห้ามสำเร็จความใคร่ นั่นเอง อีกค่ายหนึ่งโต้แย้งว่าพระคัมภีร์สอนว่า “อย่าล่วงประเวณี” แต่ไม่มีคำสอนว่า อย่าสำเร็จความใคร่ ค่ายนี้จึงอาศัยว่าเมื่อไม่มีคำสอนปรากฏข้อห้ามตรงๆก็ถือว่าไม่ผิด
บาปทางเพศทุกชนิดมักจะปรากฏให้เห็นจากคำสอนต่างๆในพระคัมภีร์เสมอ ถ้าการสำเร็จความใคร่เป็นบาปเหมือนการล่วงประเวณีแล้วไซร้ และมนุษย์ทุกวัฒนธรรมก็ยอมรับเรื่องนี้ว่ามีอยู่ในทุกวัฒนธรรมc]h;เหตุใดพระคัมภีร์จึงไม่กล่าวถึงตรงๆ ค่ายนี้จึงคิดว่าเมื่อพระคัมภีร์ไม่ได้สอนตรงๆจึงถึงว่าทำได้ไม่ผิดอะไร
แต่ผมกลับคิดว่าการที่พระคัมภีร์มิไม่สอนเรื่องใดตรงๆแล้วจะถือว่าทำได้ไม่ผิด ดูจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมีบาปอีกหลายชนิดในยุดโลกาภิวัฒน์มักไม่ปรากฏในพระคัมภีร์เช่นกันและคริสตชนก็ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
อีกค่ายหนึ่งก็ยืนยันว่าพระคัมภีร์มีสอนเรื่องนี้ เขาอ้างว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาแล้วคริสตจักรจำนวนมากมักถือเอาข้อพระธรรม เยเนซิส 38:8-11 และ 1โครินธ์ 6:9-10 เป็นกฎหมายพิพากษาคนที่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองว่าเป็นความผิด
ข้อแรกเป็นเรื่องราวของโอนัน ที่ไม่ยอมเชื่อฟังประเพณีโบราณของพระคัมภีร์เดิมของชาวฮีบรูในเรื่องการสืบสกุล ประเพณีนี้ปรากฏในพระคัมภีร์ ซึ่งสอนว่าพี่น้องผู้ชายที่มีชีวิตอยู่ต้องรับภรรยาของพี่หรือน้องในครอบครัวเดียวกันที่เสียชีวิตไปแล้วมาเป็นภรรยาของตนทั้งนี้เพื่อสืบสกุล
ส่วนข้อพระธรรมอีกข้อหนึ่งใช้ภาษาอังกฤษว่า “abusers of themselves” (KJV) หรือ “homosexuals” (NAST) ภาษาไทยใช้คำว่า ลูกสวาทหรือหรือชายเล่นลูกสวาท คริสเตียนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า พฤติกรรมของโอนันก็ดีและการประพฤติผิดทางเพศในข้อ “ลูกสวาทหรือชายเล่นสวาท”ก็ดีเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับ ความสำเร็จความใคร่
แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วนักศาสนศาสตร์ส่วนมากได้ลงความคิดเห็นว่า พระวจนะทั้งสองข้อไม่ได้กล่าวถึงพฤติกรรมสำเร็จความความใคร่แต่อย่างใดทั้งสิ้น หลักที่ใช้ในการพิจารณา เมื่อลงความเห็นว่าพระคัมภีร์มิได้พูดถึงพฤติกรรมนี้ตรงๆ ค่ายที่ยึดความคิดนี้จึงอาศัยความเงียบของเรื่องนี้คิดว่า การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ผิด แต่ผมคิดว่า การที่พระคัมภีร์มิได้สอนเรื่องอะไรตรงๆแล้วก็ถือว่าทำได้โดยไม่ผิดดูจะเป็นอันตรายไม่น้อยเพราะมีสิ่งล่อชวนหลายอย่างในยุคนี้ที่ไม่ปรากฏในพระคัมภีร์
เรื่องการสำเร็จความใคร่เป็นเรื่องที่เก่าแก่อันเป็นสากล มิใช่เป็นเรื่องที่เพิ่มจะเกิดขึ้นในยุคนี้ เรื่องเช่นนี้มีในทุกวัฒนธรรมก็ว่าได้ เรื่องสำเร็จความใคร่มีปรากฏในหนังสือ หนังสือแห่งความตาย ของชาวอียิปต์ถูกเขียนราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล ถ้าเราจะศึกษาพระคัมภีร์ดีๆ เราจะพบว่าพระคัมภีร์พูดถึงกิจกรรมเรื่องเพศทุกเรื่อง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน การล่วงประเวณี โสเภณีชายและชายรักร่วมเพศ ฯลฯ ไม่ว่าเราจะนึกถึงกิจกรรมทางเพศใดๆที่เป็นบาปก็ตาม ก็มักจะปรากฏในพระคัมภีร์เสมอและพูดตรงๆไม่ปิดไม่บังเสียด้วย
เราทุกคนที่เป็นคริสตชนมีสิทธิที่จะถามว่า ถ้าการสำเร็จความใคร่เป็นกิจกรรมทางเพศที่เป็นบาปทุกกรณีแล้วไซร้ เหตุใดจึงไม่ปรากฏการห้ามกระทำกิจกรรมนี้ในพระคัมภีร์ หรือมีการพิจารณาพฤติกรรมเรื่องนี้ว่าเป็นบาปหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องใช้หลักของคริสเตียนและพระวคำของพระเจ้าในข้ออื่นมาประกอบการพิจารณาด้วย อีกทั้งในวงการแพทย์มีความเห็นประการใด
เท่าที่ผมสัมภาษณ์แพทย์คริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียนแพทย์ส่วนมากลงความเห็นว่า ถ้ามองในมุมวิทยาศาสตร์การแพทย์อย่างเดียว ไม่มองในมุมอื่น การสำเร็จความใคร่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือต่อจิตใจแต่อย่างใด การสูบบุหรี่ยังเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นต้น นายแพทย์ท่านหนึ่งที่สอนเพศศึกษาแก่นักเรียนแพทย์กล่าวว่า การสำเร็จความใคร่ที่ทำกันอย่างปกติ ไม่มีผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ นอกเสียแต่ว่าผู้กระทำใช้ความรุนแรงเกินไปซึ่งผิวหนังอาจเป็นแผลได้ คำพูดนี้มองในมุมวิทยาศาสตร์การแพทย์อย่างเดียว
ส่วนความคิดเห็นของนักศาสนศาสตร์นักศาสนศาสตร์ และศิษยาภิบาลจำนวนไม่น้อยในประเทศตะวันตกสรุปว่า โดยทั่วๆไป การสำเร็จความใคร่ไม่ผิดหรือถูก ไม่เป็นเรื่องชั่วหรือดี การสำเร็จความใคร่จะถูกใช้ในทางที่ดีหรือทางบาปต้องพิจารณา จากเรื่องรายละเอียดดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ผู้สำเร็จความใคร่มีความคิดบริสุทธิ์หรือไม่
มีบางคนถามว่า คนที่สำเร็จความใคร่คิดบริสุทธิ์นั้นมีด้วยหรือ คำตอบ คือ มีและเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาและสามีมีเหตุจำเป็นที่ต้องแยกกันอยู่คนละที่ คนละประเทศก็อาจคิดถึงกันและสำเร็จความใคร่ได้ ในกรณีนี้จะไปจัดว่าเข้าข่ายผิดประเวณีในใจก็คงไม่ได้ เพราะทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน
ดังนั้นไม่ใช่การฝันเฟื่องทุกเรื่องและการสำเร็จความใคร่จะผิดทุกกรณีไป แต่การสำเร็จความใคร่ที่เกิดจากความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ ก็อาจมีและมีมากเสียด้วยเพราะในพระธรรม มัทธิว 5:27,28 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว การผิดประเวณีในจิตใจและในความคิดเป็นสิ่งที่ผิดและบั่นทอนชีวิตฝ่ายวิญญาณและการเจริญเติบโตทางฝ่ายจิตวิญญาณ การคิดฝันเฟื่องเรื่องเพศอาจเป็นสาเหตุของการทำผิดศิลธรรมในชีวิตจริงๆได้
แต่ผลการวิจัยของวงการแพทย์พบว่ามีผู้ชาย 1 ใน 4 และผู้หญิง 1 ใน 2 สำเร็จความใคร่โดยไม่เคยคิดฝันใดๆในเรื่องเพศ คนพวกนี้สำเร็จความใคร่เพื่อลดความกดดันทางเพศเฉยๆ ดังนั้นการสำเร็จความใคร่มีหลายแบบคือ แบบสามีภรรยาที่คิดถึงกันและกัน แบบลดความกดดันทางเพศ โดยไม่คิดเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบาปและการสำเร็จความใคร่แบบที่เป็นบาปเพราะคิดถึงเรื่องที่ไม่สะอาด
ผู้สำเร็จความใคร่ใช้พฤติกรรมนี้เพื่อเป็นการหลีกหนีปัญหาหรือไม่นั้น ศิษยาภิบาลและนักศาสนศาสตร์จำนวนมาก พบโดยประสบการณ์การรับใช้และการให้คำปรึกษาว่า การสำเร็จความใคร่มี 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 เป็นการกระทำตามโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เพื่อลดความกดดันทางเรื่องเพศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ชนิดที่ 2 เป็นการสำเร็จความใคร่ที่กระทำเป็นนิสัย ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาด้านสังคมและอารมณ์ที่ไม่สมดุลยในชีวิตของคนๆนั้น และเป็นปัญหาทางใจที่ยังไม่ลงตัว
ปัญหาการไม่ยอมเข้าสังคมที่ดี การไม่สามารถคุยกับคนอื่นๆโดยเฉพาะเพศตรงข้ามก็ดี ปัญหาซึมเศร้าก็ดีและโรคทางใจต่างๆก็ดี สามารถกลายเป็นเชื้อเพลิงเผาผลาญให้นิสัยและปัญหาที่กล่าวมาแล้วลุกโหมขึ้นมาได้ ถ้าคนๆนั้นสำเร็จจากปัญหาภายในดังกล่าวการสำเร็จความใคร่ในลักษณะนี้เป็นตัวเทอร์มอมิเตอร์บ่งชี้ว่า คนทำมีปัญหาลึกกว่ากิจกรรมการสำเร็จความใคร่เสียอีก
บางคนพูดเรื่องนี้เป็นภาษาภาพว่า คริสเตียนบางคนใช้การสำเร็จความใคร่เป็นหมุดไว้แขวนปัญหานานาชนิดของตน ตัวปัญหาอาจไม่ใช่หมุดแต่อาจเป็นสิ่งที่แขวนกับหมุดนั้นก็เป็นได้
สรุป ปุถุชนทุกวัฒนธรรมมักเรียนรู้กิจกรรมทางเพศที่เรียกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เรื่องนี้เก่าแก่หลายพันปี อนุชนคริสเตียนในคริสตจักรส่วนมากมักไม่ถูกสอนอย่างถูกต้องในด้านเพศศึกษาทั้งจากศิษยาภิบาลและพ่อแม่ การสอนเพศศึกษาอย่างถูกต้องจากครอบครัวที่กระทำอย่างถูกต้อง หรือจากแพทย์คริสเตียนหรือจากศิษยาภิบาลที่ชำนาญในวิชาด้านนี้ย่อมดีกว่าให้เยาวชนไปเรียนรู้จากสื่อต่างๆ จากการทดลองอย่างผิด ๆหรือจากเพื่อน
แม้พระคัมภีร์จะไม่มีกล่าวที่เป็นข้อห้ามตรงๆในเรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นบาป เพราะกิจกรรมทางเพศนี้อาจเป็นบาปได้ ถ้าผู้กระทำมีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ กิจกรรมทางเพศนี้อาจสะท้อนมาจากปัญหาสังคมลึกๆในตัวอนุชนนั้น และปัญหาต่างๆอีกมากที่เป็นตัวกดดันให้ทำกิจกรรมนั้นๆ สถิติพบว่าชาย 1 ใน 4 และสตรี 1 ใน 2 สำเร็จความใคร่โดยไม่คิดถึงอะไรเลยและสามีภรรยาที่อยู่ห่างไกลจากกันเนื่องด้วยเหตุใดก็ตามที อาจทำกิจกรรมทางเพศนี้โดยคิดถึงกัน จะถือว่าเป็นการล่วงประเวณีก็คงไม่ได้และในความเป็นจริงพบว่าอนุชนจำนวนไม่น้อยในยุคโลกาภิวัตน์ สื่อสกปรกยั่วยุเยาวชนให้ทำกิจกรรมประเภทนี้ซึ่งเกิดจากความคิดที่สกปรก อันถือว่าเป็นกิจกรรมที่บาป การออกกำลังกายเสมอ การสนใจในงานอดิเรก การตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้วก้าวไปสู่เป้าหมายนั้น การฟังเพลงและการพักผ่อนอย่างเหมาะสม การไปนมัสการในคริสตจักรและการมีเพื่อนในกลุ่มที่ดี การอธิษฐาน อดอาหาร การฝึกวินัยในชีวิตและความคิดเหล่านี้สามารถช่วยอนุชนให้ดำรงชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยไม่หมกมุ่นกับกิจกรรมทางเพศใดๆได้ บิดามารดาที่อบรมบุตรหลานอย่างดีย่อมช่วยได้มาก แม่ของผมเคยสอนผมไว้ตั้งแต่เด็กว่า ห้ามมีแฟนก่อนจบปริญญาตรี ในยุคนี้แม้คำสอนนี้จะฟังดูเชยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นภูมิปัญญาของบิดามารดาไทยที่ช่วยลูกให้สนใจเรียน เล่นกีฬา ดนตรีและมีเพื่อนฝูงที่ดีซึ่งเป็นการช่วยลูกหลานของตนได้มากที่ไม่ต้องสาละวนกับกิจกรรมทางเพศก่อนวัยอันควร